ความพยายามลดพึ่งพาน้ำมัน! ซาอุฯเผยปีหน้ามีวีซ่าท่องเที่ยว หวังเม็ดเงินสะพัด 4.7 หมื่นล้านดอลล์ในปี 2020

จากตอนแรกที่ซาอุดีอาระเบียอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก แต่ในปีหน้าอาจไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป เมื่อรัฐบาลกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดในการเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของประเทศ

ทั้งนี้ ปกติแล้วในแต่ละปีราชอาณาจักรซาอุฯจะต้อนรับชาวมุสลิมหลายล้านคนที่มาเยือนนครเมกกะห์ แต่ตอนนี้กำลังมุ่งไปสู่การดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วไปมากขึ้น

“เป้าหมายคือกลุ่มคนที่ต้องการมีประสบการณ์ในประเทศนี้จริงๆ และต้องการสัมผัสความหรูหราของซาอุฯ” เจ้าชายสุลต่าน บิน ซาลมาน ประธานฝ่ายการท่องเที่ยวซาอุฯและคณะกรรมาธิการมรดกแห่งชาติ กล่าวกับซีเอ็นเอ็น และว่า ซาอุฯวางแผนที่จะออกวีซ่าท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งก่อนหน้านี้วีซ่านั้นมีจำกัดเฉพาะการเดินทางมาทำงานหรือเข้าชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

การหันมาดึงดูดนักท่องเที่ยวนี้เป็นแผนของประเทศในการลดการพึ่งพาน้ำมัน โดยตั้งเป้าว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนซาอุฯให้ได้ปีละ 30 ล้านคน ภายในปี 2030 เพิ่มจากปี 2016 ที่มีอยู่ 18 ล้านคน และต้องการให้มีเม็ดเงินสะพัดจากภาคการท่องเที่ยวให้ถึง 47,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2020

และเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ซาอุดีอาระเบียได้เปิดตัวโครงการใหม่ๆ มากมายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้างรีสอร์ตหรูบนชายหาดริมทะเลแดง, โครงการสร้างธีมพาร์คในปี 2022

นอกจากนี้ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซาลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ ผู้ซึ่งกำลังผลักดันการยกเครื่องเศรษฐกิจของประเทศ ยังได้เผยแผนสร้างเมืองใหม่ งบประมาณกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะตั้งอยู่บริเวณชายแดนของซาอุฯ อียิปต์ และจอร์แดนด้วย

“ซาอุดีอาระเบียมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวอันเนื่องมาจากมีช่วงอุณหภูมิที่ดี, มีมรดกและวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์, ธรรมชาติที่สวยงาม และสิ่งมีชีวิตทางทะเลที่ยังอุดมสมบูรณ์” นิโคลา โคซูติก ผู้จัดการฝ่ายวิจัยอาวุโสจากยูโรมอนิเตอร์ กล่าว และว่า แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาคือซาอุฯนั้นล้อมรอบไปด้วยประเทศที่การเมืองยังไม่เสถียร ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่มีปัญหาในเรื่องความปลอดภัย