“เฟด” หั่นคิวอีเสร็จกลางปีหน้า ส่งซิกขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม

เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ชีพจรเศรษฐกิจโลก
นงนุช สิงหเดชะ

การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ถือว่าถูกนักลงทุนจับตามองมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรอดูความชัดเจนเรื่องการลดวงเงินซื้อพันธบัตรภายใต้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) หลังจากเฟดส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้ว่าจะเริ่มลดวงเงินปีนี้ โดยนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด กล่าวหลังการประชุมว่า การลดวงเงินซื้อพันธบัตรอาจเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 2-3 พฤศจิกายน และจะเสร็จสิ้นกระบวนการประมาณกลางปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดย้ำว่า วงเงินที่ลดการซื้อและความเร็วในการซื้อพันธบัตรไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณโดยตรงว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแต่อย่างใด ทั้งนี้ไม่คิดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนที่กระบวนการลดวงเงินซื้อพันธบัตรเสร็จสิ้น

ที่ประชุมในวันดังกล่าวยังมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมคือ 0-0.25% ไว้เช่นเดิม และยังคงซื้อพันธบัตรและหลักทรัพย์เดือนละ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ตามเดิม

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ๆ นั้น เฟดปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้ลงเหลือ 5.9% จาก 7% ในครั้งก่อนหน้า เนื่องจากผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ส่วนปีหน้าประเมินว่าจะขยายตัว 3.8% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้า

อัตราว่างงานสหรัฐเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 5.2% แม้จะต่ำกว่าเดือนเมษายน 2020 ซึ่งอยู่ที่ 14.8% ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สูงสุด แต่ก็ยังสูงกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดซึ่งอยู่ที่ 3.5% ดังนั้นเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมจนกว่าอัตราการจ้างงานจะเกิดขึ้นเต็มที่ตามที่เฟดประเมินไว้

ส่วนอัตราว่างงานปีหน้าเฟดคาดว่าจะอยู่ที่ 3.8% ไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งก่อนหน้า ด้านเงินเฟ้อปีหน้าขยับคาดการณ์จาก 2.1% เป็น 2.2% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้า ส่วนเงินเฟ้อรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาจนถึงเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 4.2% สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% แต่น่าจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว

สำหรับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนั้น เมื่อดูจาก dot plots หรือคาดการณ์ของสมาชิกเฟดรายบุคคลพบว่า ในครั้งนี้เสียงแตกเป็นครึ่งต่อครึ่ง ในประเด็นที่ว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะเริ่มขยับขึ้นในปีหน้า การที่มีเสียงกรรมการครึ่งหนึ่งสนับสนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยปีหน้าก็เท่ากับว่าขึ้นเร็วกว่ากำหนด จากเดิมที่เห็นว่าควรขึ้นปี 2023

ในประเด็นปัญหาหนี้ของ “เอเวอร์แกรนด์” บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีน ประธานเฟดกล่าวว่า ดูเหมือนจะเป็นปัญหาเฉพาะของจีน ไม่น่าจะสร้างความเสี่ยงให้กับธนาคารขนาดใหญ่ของทั้งสหรัฐและจีน ตนไม่คิดว่าจะกระทบต่อสภาวะการเงินโลก

พร้อมกันนี้พาวเวลล์ยังกระตุ้นให้สภาคองเกรสเพิ่มเพดานหนี้โดยเร็ว เพื่อที่ว่าสหรัฐจะสามารถชำระหนี้ได้ มันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะต้องขยายเพดานหนี้ หากไม่ขยายจะเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน สหรัฐไม่ควรผิดนัดชำระหนี้

“จิม โอซุลลิแวน” หัวหน้านักกลยุทธ์มหภาคของทีดีซีเคียวริตี้ ชี้ว่า กระบวนการลดซื้อพันธบัตรใช้เวลาค่อนข้างเร็วกว่าวิกฤตรอบที่แล้ว ซึ่งใช้เวลา 10 เดือน ทางด้าน “ลอว์เรนซ์ กิลลัม” นักกลยุทธ์ของแอลพีแอลไฟแนนเชียล เห็นว่า นโยบายระยะกลางและยาวของเฟดยังไม่ชัดเจน ตอนนี้ตลาดยังคงคิดว่าเฟดจะประกาศแผนการลดซื้อพันธบัตรในเดือนพฤศจิกายน และจะเริ่มลงมือปฏิบัติในเดือนธันวาคม แต่หากดูคาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ยของสมาชิกแต่ละคนในปัจจุบันยังถือว่ากระจัดกระจาย

นอกจากนี้สมาชิกเฟดบางคนจะหมดวาระลง ซึ่งจะต้องมีการแต่งตั้งเข้ามาใหม่ ดังนั้นทั้งสองปัจจัยคือพาวเวลล์จะได้ดำรงตำแหน่งอีกสมัยหรือไม่ และคนที่จะมาเป็นสมาชิกเฟดรายใหม่คือใคร จะมีผลกระทบค่อนข้างสำคัญต่อนโยบายการเงินในอนาคต

วาระการดำรงตำแหน่งของพาวเวลล์จะสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ซึ่งคาดว่าประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” จะตัดสินใจในฤดูใบไม้ร่วงนี้ว่าจะต่ออายุให้อีกสมัยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวบลูมเบิร์กอ้างว่า คนในทำเนียบขาวกำลังจะแนะนำให้ไบเดนต่ออายุให้อีกสมัย

หลังการประชุมเฟด ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดที่ 34,258.32 จุด เพิ่มขึ้น 334.48 จุด หรือ 1% เช่นเดียวกับแนสแดคที่เพิ่มขึ้น 1% ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีปรับลง 0.017% อยู่ที่ 1.307% ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าเฟดประสบความสำเร็จในการสื่อสารกับตลาดจึงไม่เกิดความตกใจ