เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วโลกได้จับตามองสถานการณ์ของโลกตะวันตก หลังประเทศออสเตรเลีย “ฉีกสัญญา” การสร้างเรือดำน้ำพลังงานดีเซลที่ออสเตรเลียได้เซ็นไว้กับฝรั่งเศสเมื่อปี 2016 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.67 ล้านล้านบาท)
โดยออสเตรเลียหันไปร่วมมือกับประเทศสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร (ยูเค) ในโครงการ “ความร่วมมือทางด้านความมั่นคงออคุส” (Aukus) ในการสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เป็นเทคโนโลยีทางการทหารชั้นสูงแทน
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
รอยเตอร์สรายงานว่า ประเทศฝรั่งเศสไม่พอใจกับการที่ออสเตรเลียฉีกสัญญาอย่างมาก และออกมา “ตอบโต้” สหรัฐและออสเตรเลีย โดยระบุว่าเหมือนถูกพันธมิตร “หักหลัง”
ทั้งนี้อีกสาเหตุที่ทำให้ประเทศฝรั่งเศสไม่พอใจอย่างมาก เพราะทางการฝรั่งเศสเพิ่งได้รับรู้การยกเลิกสัญญา หลังการประกาศจับมือกันของสหรัฐกับออสเตรเลียไม่กี่ชั่วโมง
สถานการณ์ดังกล่าว นำมาสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศตะวันตกรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยทางฝรั่งเศสไม่พอใจอย่างมาก ถึงขนาดที่เรียกทูตประจำอยู่ที่ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกากลับประเทศ
ขณะเดียวกัน ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ก็ตำหนิการกระทำของออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ในการฉีกสัญญาดังกล่าว
“ชารลส์ มิเชล” ประธานคณะมนตรียุโรป กล่าวว่า สำหรับพวกเรา ความโปร่งใส และความซื่อสัตย์ ถือเป็นหลักการสำคัญ ที่จะทำให้สร้างความร่วมมือ และการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้น
และจากเหตุการณ์ดังกล่าว “เคลมอนต์ โบน” รัฐมนตรีฝ่ายกิจการยุโรปของประเทศฝรั่งเศส ออกมาระบุว่า สิ่งหนึ่งที่ภูมิภาคยุโรปต้องคำนึงถึงในตอนนี้คือ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่สหภาพยุโรปต้องปรับกลยุทธ์ รวมกันเป็นหนึ่งในฐานะยุโรปให้มากขึ้น และลดการพึ่งพาชาติมหาอำนาจให้น้อยลง ซึ่งเป็นการโจมตีถึงเหล่ามหาอำนาจพันธมิตรของประเทศตะวันตกโดยตรง ซึ่งเป็นผลมาจากการฉีกสัญญาดังกล่าว
ทั้งนี้เพื่อเป็นการยืนเคียงข้างฝรั่งเศส ต่อต้านการล้มดีลเรือดำน้ำ ทางการอียูกำลังหาทาง “เอาคืน” ประเทศออสเตรเลีย ด้วยการพิจารณาว่า “ข้อตกลงการค้าเสรีการค้าระหว่างอียู และออสเตรเลีย” ที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาหารือ หลังจาก “ถูกหักหลัง” แบบนี้ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม “แดน เทฮาน” รัฐมนตรีการค้าออสเตรเลีย ได้เรียกร้องให้มีการเดินหน้าหารือข้อตกลงทางการค้าต่อไป
“ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างอียูและออสเตรเลีย เป็นสิ่งที่จะดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อทางออสเตรเลียแล้ว ยังเป็นวิธีที่อียูจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับอินโด-แปซิฟิก ซึ่งกำลังจะกลายเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก” แดน เทฮานกล่าว
ทั้งนี้ถึงแม้ฝรั่งเศสจะไม่พอใจอย่างมาก แต่ทางการออสเตรเลียก็ได้ออกมาแสดงจุดยืน สนับสนุนถึงการตัดสินใจดังกล่าว
พร้อมกับเปิดเผยเอกสารที่ระบุว่า “การฉีกสัญญา” ยกเลิกสร้างเรือดำน้ำกับฝรั่งเศส ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น และทางการฝรั่งเศสก่อนหน้านี้รู้มาก่อนแล้วว่า จะมีการฉีกสัญญา เนื่องจากว่า การก่อสร้างเรือดำน้ำเป็นไปอย่างล่าช้า และมีค่าใช้จ่ายที่บานปลายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนล่าสุดเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ “เอ็มมานูเอ็ล มาครง” ประธานาธิบดีฝรั่งเศส
โดยทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำทั้งสองตกลงที่จะพบกันในเดือนหน้า เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ต่อไป
และทั้ง 2 ประเทศยังร่วมกันแถลงการณ์ว่า ผู้นำทั้งคู่กำลังจะหารือกัน เพื่อสร้างเงื่อนไขที่จะรับประกันความเชื่อมั่นระหว่างกันอีกด้วย
“เจน ซากี” โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า ทางสหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส จะมีการหารือร่วมกันต่อไป โดยไบเดนหวังว่าหลังจากนี้การหารือสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ จะช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์อันยาวนานกับฝรั่งเศส ให้กลับสู่ภาวะปกติให้ได้
ทั้งนี้ เหล่านักวิเคราะห์มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด อาจนำมาสู่ความขัดแย้งขั้นรุนแรงที่สุด ระหว่างประเทศตะวันตกในรอบหลายทศวรรษ และอาจเข้าไปมีผลกระทบกับด้านอื่นเพิ่มเติม เหมือนกับตอนนี้ที่ทางอียูลังเลเจรจาข้อตกลงการค้ากับทางออสเตรเลีย
รวมถึงอาจจะเป็นอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้ประเทศตะวันตกเสียงแตกและไม่สามารถร่วมมือกันโค่นมหาอำนาจ “จีน” ได้