สตาร์บัคส์จีน “ลัคกิ้น” ยังไม่ตาย ปรับโครงสร้าง-ล้างมลทินตกแต่งบัญชี

ความคืบหน้ากรณีเชนร้านกาแฟดังสัญชาติจีน “ลัคกิ้น คอฟฟี่” (Luckin Coffee) หลังจากถูกเปิดเผยเรื่องการตกแต่งบัญชีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวัดผล และการดึงดูดนักลงทุน เป็นเหตุให้เกิดการฟ้องร้องและการยื่นขอรับความคุ้มครองการล้มละลายในสหรัฐอเมริกา เพื่อฟื้นฟูบริษัทให้กลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา “ลัคกิ้น คอฟฟี่” เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามยอมรับเงื่อนไขการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อสิ้นสุดกระบวนการคุ้มครองการล้มละลาย โดยเสนอชดใช้ค่าเสียหายและยุติคดีความต่าง ๆ ในศาลสหรัฐด้วยจำนวนเงิน 187.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ ลัคกิ้นได้รับเงินทุนช่วยเหลือราว 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผู้สนับสนุนหลักอย่าง “เซ็นจูเรียม แคปิตอล” และ “จอย แคปิตอล” บริษัทด้านการลงทุนจีนที่ลงทุนกับลัคกิ้นตั้งแต่ก่อนไอพีโอเข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2019 โดยเงินทุนช่วยเหลือดังกล่าวแลกกับการเข้าถือครองหุ้นในลัคกิ้นมากขึ้น

ขณะเดียวกัน กองทุนบริหารความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) นำโดยบริษัทด้านการลงทุนฮ่องกง-สหรัฐอย่างลินดอน แอดไวเซอร์ส, ลอง คอร์ริดอร์, โอเอซิส แคปิตอล พาร์ตเนอร์ส และดาวิดสัน เคมป์เนอร์ ยังเข้ามาช่วยจัดการหุ้นกู้แปลงสภาพของลัคกิ้นมูลค่า 460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2025 อีกด้วย

“อิวาน พลาโตนอฟ” ผู้จัดการฝ่ายวิจัยของ “อีควอลโอเชียน” บริษัทวิจัยเทคโนโลยีชั้นนำในจีน ระบุว่า “ข้อมูลและประสบการณ์ในการขยายธุรกิจตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งความสามารถทางด้านเทคโนโลยี ทำให้ลัคกิ้นเป็นบริษัทที่คุ้มค่าแก่การช่วยเหลือ”

ทั้งนี้ ในเดือน ธ.ค. 2020 ลัคกิ้นถูกตรวจสอบพบว่ามีการปลอมแปลงข้อมูลยอดขายสูงกว่าความเป็นจริง และประเมินต้นทุนต่ำเกินจริงในบัญชีไตรมาส 2-4 ในปี 2019 ส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐสั่งปรับ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กรณีดังกล่าวทำให้มูลค่าของลัคกิ้นในตลาดหุ้นร่วงลงกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเกิดการฟ้องร้องหลายคดี ทำให้การดำเนินธุรกิจประสบปัญหา กระทั่งบริษัทตัดสินใจยื่นเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองการล้มละลายตามบทที่ 15 (chapter 15) ของกฎหมายล้มละลายของสหรัฐในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้สัญญาณทางธุรกิจของลัคกิ้นเริ่มดีขึ้น มีการขยายสาขาเพิ่มอีก 89 สาขา รวมเป็น 4,018 สาขา และยังมีร้านพันธมิตรเพิ่มขึ้นอีก 367 แห่ง ขณะที่รายได้สุทธิในปีงบประมาณ 2020 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 618 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาลัคกิ้นยังพยายามชำระคืนหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระบางส่วน โดยในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาลัคกิ้น เปิดเผยว่า ผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัทได้รับการชำระหนี้คืนแล้วราว 96%

อย่างไรก็ตาม ลัคกิ้นยังคงต้องเผชิญอุปสรรคเนื่องจากเงินสดส่วนใหญ่ราว 740 ล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่บริษัทแม่ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเซี่ยเหมินของจีน ทำให้ดึงเงินสดมาใช้ปรับโครงสร้างและฟื้นฟูธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐยังต้องขึ้นอยู่กับการคุมเข้มของหน่วยงานกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของจีน

นอกจากนี้ ลัคกิ้นยังต้องพยายามล้างมลทินจากข้อกล่าวหาในการตกแต่งบัญชี ซึ่งนักลงทุนสถาบันส่วนหนึ่งสนับสนุนให้ลัคกิ้นหันไปทำงานเบื้องหลังแบรนด์อื่น หรือปรับเปลี่ยนแบรนด์ แต่ “อิวาน พลาโตนอฟ” มองว่า การเปิดเผยเอกสารการสอบสวนและการสร้างกลไกเพิ่มความโปร่งใสทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าเปลี่ยนแบรนด์ รวมทั้งควรโฟกัสที่ตลาดจีนมากกว่าการขยายตัวในต่างประเทศช่วงเวลานี้