
เมื่อ 2 ธ.ค. บีบีซีรายงานว่า วุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปรูปแบบการเก็บภาษีของประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 35 ปี ด้วยเสียง 51 ต่อ 49 เสียง โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะลดหย่อนภาษีให้กับบรรดาเอกชนและภาคธุรกิจเป็นหลัก ส่งผลให้พรรคเดโมเครติก หรือเดโมแครตที่เป็นฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะมองว่าเป็นกฎหมายที่ช่วยเหลือผู้มีรายได้สูง และจะส่งผลให้สหรัฐต้องมีตัวเลขขาดดุลเพิ่มขึ้นอีกถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 32 ล้านล้านบาท นับเป็นการปฏิรูปการเก็บภาษีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2523 ของประเทศ และถือเป็นการนำไปสู่ชัยชนะครั้งแรกในสภาคองเกรสของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ที่ต้องการให้กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ก่อนสิ้นปีนี้
ชัยชนะดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การสืบสวนความเกี่ยวโยงระหว่างนายทรัมป์และบุคคลใกล้ชิดกับทางการรัสเซีย กรณีพบว่ารัสเซียพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐเมื่อปี 2559 โดยล่าสุด นายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายทรัมป์ ให้การรับสารภาพต่อศาลว่าให้การเท็จต่อสำนักงานสืบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ เพื่อพยายามปกปิดที่เคยพบหารือกับนายเซอร์เกย์ คิสล์ยัค เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน ตามคำแนะนำของผู้มีอิทธิพลในพรรครีพับลิกัน
บรรดานักวิเคราะห์ต่างเฝ้าติดตามว่านายโรเบิร์ต มุลเลอร์ อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอที่เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนจะมุ่งไปที่บุคคลใดต่อไปในพรรครีพับลิกัน ทั้งยังส่งผลกระทบต่อนายทรัมป์ เพราะเคยพยายามขอให้นายเจมส์ โคมีย์ ผอ.เอฟบีไอในขณะนั้นยุติการสืบสวนนายฟลินน์ ก่อนที่ต่อมานายทรัมป์จะสั่งปลดนายโคมีย์ จากเก้าอี้ผอ.เอฟบีไอ สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวอเมริกัน
ที่มา ข่าวสดออนไลน์