ชีพจรเศรษฐกิจ ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
เริ่มต้นสัปดาห์แรกของปี 2022 มูลค่าของบิตคอยน์ร่วงลงหนัก แกว่งตัวอยู่ที่ราว ๆ 42,900-47,000 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าในเดือนพฤศจิกายนที่พุ่งขึ้นไปถึงเกือบ 69,000 ดอลลาร์อยู่มากโขทีเดียว
ปัญหาของบิตคอยน์ เงินคริปโทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานี้มีอยู่หลายอย่างมาก ตั้งแต่ปริมาณซื้อขายเริ่มเหือดแห้ง หายไปไม่น้อยกว่า 33% ความสนใจในตลาดล่วงหน้าก็ลดวูบลงราว ๆ 39% และจำนวนของผู้ที่เข้าไปซื้อขาย ที่เรียกกันว่า “แอ็กทีฟ แอดเดรส” ก็ตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกแช่แข็ง อยู่ที่ราว ๆ 971,000 แอดเดรส ต่ำกว่าเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1.2 ล้านไม่น้อยเลยทีเดียว
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
แต่ปมใหญ่ที่สุดที่ทุกคนเชื่อว่าส่งผลกระทบต่อการซื้อขายและราคาของบิตคอยน์อย่างหนักก็คือ การที่ “เฟด” หรือ ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา แสดงทีท่าชัดเจนว่า ต้องการยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในตลาดโดยเร็ว เร็วกว่าที่ตลาดคาดหวังกัน
นักวิเคราะห์ระบุว่า มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อรองรับวิกฤตโควิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สร้างประโยชน์มหาศาลให้กับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี
“แมท มาเลย์” หัวหน้าแผนกยุทธศาสตร์การตลาดของ มิลเลอร์ ทาบัค พลัส เชื่อว่า เงินทุนต้นทุนต่ำที่ถูกอัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว ดันสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโทเคอร์เรนซีให้พุ่งสูงขึ้นเร็วเกินไปและมากเกินไปด้วยซ้ำ
การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเร็วเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ จะส่งผลให้ต้นทุนแพงขึ้นทั่้วทั้งระบบเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนยิ่งหันเหออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโทเคอร์เรนซีมากยิ่งขึ้น
คำถามสำคัญในเวลานี้ก็คือ แล้วทิศทางของราคาบิตคอยน์ในปีนี้จะเป็นไปอย่างไร ?
นักวิเคราะห์มองต่างกันออกไปเป็น 2 ทาง ขึ้นอยู่กับมุมมองต่อตัว คริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะตัวบิตคอยน์ว่าเป็นอย่างไร
“ไมค์ แม็คโกลน” นักวิเคราะห์ของ บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ มองว่า บิตคอยน์ ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยงอีกแล้ว แต่ยิ่งนับวัน บิตคอยน์ ยิ่งวิวัฒนาการไปสู่การเป็น “ทุนสำรอง” ในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้นทุกที
เงินคริปโททั้งหลายจัดอยู่ในระดับต้น ๆ ของการลงทุนเก็งกำไร และการลงทุนด้วยความเสี่ยง ซึ่งยิ่งลดลงมากเท่าใด ก็จะช่วยให้เฟดสามารถสู้กับภาวะเงินเฟ้อได้ดีขึ้นมากเท่านั้น
แต่การที่บิตคอยน์ กลายเป็น ทุนสำรอง ของโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งทำให้ได้รับความสนใจลงทุนมากขึ้นในสภาวการณ์เช่นนี้
แมคโกลนถึงกับฟันธงเอาไว้ว่า ปีนี้มูลค่าของบิตคอยน์จะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 100,000 ดอลลาร์ได้เลยทีเดียว
แม้แต่ “แซค แพนเดิล” นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซกส์ ก็เชื่อว่า บิตคอยน์สามารถพุ่งทะลุเป้า 100,000 ดอลลาร์ได้ในปีนี้ ถ้าหากยังคงเรียกความสนใจจากนักลงทุน ที่เดิมเคยปักหลักลงทุนในทองคำ ให้เข้ามาลงทุนในบิตคอยน์ได้มากขึ้น
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นเช่นนั้น ลินด์เซย์ เบลล์ นักยุทธศาสตร์การตลาดและการเงินแห่งอัลลีเชื่อว่า การปรับนโยบายของเฟด ทำให้นักลงทุนกระวนกระวายใจกันตั้งแต่ต้นปี ก็ต้องหันมาประเมินสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมดเสียใหม่
และการที่เงินดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้น ก็เหมือนเป็นการเตือนความจำไว้ว่า “ดอลลาร์” ยังคงเป็นสกุลเงินของโลก ยังแข็งแกร่ง จะไม่หายไปไหน และไม่จำเป็นที่จะต้องไปสุ่มเสี่ยงกับการถือครองคริปโท
“บิตคอยน์ก็ยังคงเป็นบิตคอยน์ เป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่ผันผวนสูงมากอยู่ดี”
คนที่มองเป็นกลาง ๆ ก็มี อย่างเช่น เกร็ก บัสซุค ซีอีโอของ เอเอ็กซ์เอส อินเวสต์เมนต์ ที่มุ่งโฟกัสไปที่การลงทุนทางเลือกทั้งหลาย เชื่อว่าในปีนี้ บิตคอยน์ น่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุนของนักลงทุนทุกคน
เขาเชื่อว่าสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหลาย ในระยะยาวแล้วจะถูกมองไปในแบบเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์, หลักทรัพย์ และพันธบัตร หรือแม้แต่กระทั่งอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายในอีกไม่ช้าไม่นาน
ดังนั้น บิตคอยน์ ก็น่าจะยังคงทะยานต่อไปได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ในเวลานี้
ปัญหาก็คือ จะเชื่อเหตุผลและมุมมองของใครดีเท่านั้นเอง