
ตะลึง ซาอุฯประหารชีวิตนักโทษ รวด 81 ชีวิตภายในวันเดียว ทุบสถิติในประวัติศาสตร์การประหาร ทางการยืนยันสมควรตายแล้ว แต่นักสิทธิมนุษยชนยังคาใจไหนว่าจะปฏิรูป
วันที่ 13 มีนาคม 2565 สำนักข่าว เอพี รายงานว่า ซาอุดีอาระเบียประหารนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ภายในวันเดียวถึง 81 ราย เมื่อวันเสาร์ที่ 12 มี.ค. นับเป็นการประหารครั้งใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักรในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
สถิติจำนวนนักโทษที่ถูกประหารครั้งนี้ทำลายสถิติเดิมเมื่อเดือนมกราคม 2523 ครั้งนั้นประหารนักโทษ ไปทั้งสิ้น 63 รายภายในวันเดียว จากเหตุสะเทือนขวัญที่สุดของประเทศและของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกลุ่มนักรบบุกยึดมัสยิดใหญ่ที่นครเมกกะปี 2522
ส่วนครั้งนี้ข้อมูลข่าวยังไม่แน่ชัดว่าเหตุใดทางการซาอุดีอาระเบียจึงเลือกวันเสาร์ที่ 12 มี.ค. ประหารนักโทษจำนวนมากเช่นนี้ แม้จะมีข้อสังเกตว่าเลือกจังหวะที่คนในประชาคมโลกสนใจอยู่กับเหตุการณ์ รัสเซีย-ยูเครน และสหรัฐหวังให้กลุ่มผู้ผลิตราคาน้ำมันช่วยปรับลดราคาน้ำมันลง ขณะที่ราคาพลังงานพุ่งกระฉูดไปทั่วโลก
ด้านนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษมีกำหนดเยือนซาอุดีอาระเบียสัปดาห์หน้าเพื่อหารือเรื่องราคาน้ำมันเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ จำนวนนักโทษในซาอุฯ ถูกประหารลดลงมากช่วงเกิดโรคระบาดโควิด แต่ซาอุฯ ในยุคสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน และมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ยังคงเดินหน้าประหารชีวิตด้วยการบั่นคอนักโทษ

ข่าวจากสำนักข่าว ซาอุดี เพรส ของทางการระบุว่า กลุ่มผู้ถูกประหารเป็นนักโทษก่อคดีอาชญากรรมหลายด้าน มีทั้งผู้ก่อเหตุฆาตกรรมผู้บริสุทธิ์ สตรี และเด็ก นอกจากนี้ยังมีสมาชิกกลุ่มอัลไคด้า กลุ่มไอเอส และกบฏฮูตีของเยเมนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในสงครามกลางเมืองเยเมนที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2558
เมื่อจำแนกสัญชาติ ทางการระบุว่า นักโทษที่ถูกประหาร เป็นชาวซาอุฯ 73 ราย เยเมน 7 ราย และซีเรีย 1 ราย แต่ไม่เปิดเผยสถานที่ที่ใช้ประหารนักโทษจำนวนมากเหล่านี้
“ผู้ถูกกล่าวหาได้รับสิทธิให้มีทนาย และได้รับประกันว่ามีสิทธิเต็มที่ภายใต้กฎหมายของซาอุดีอาระเบีย ระหว่างกระบวนการทางศาล ซึ่งคนกลุ่มนี้ถูกตัดสินมีความผิดฐานก่ออาชญากรรมโหดร้าย คร่าชีวิตพลเรือน และเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก” สำนักข่าวซาอุดี เพรส รายงาน

พร้อมระบุยืนยันว่า ราชอาณาจักรซาอุฯ จะใช้กฎที่เข้มงวด และจุดยืนที่ต่อต้านการก่อการร้ายและผู้มีแนวคิดความเชื่อรุนแรงสุดขั้ว อันเป็นภัยต่อความมั่นคงของโลกโดยรวม ผู้ที่ถูกประหารล้วนเดินตามรอยซาตาน ก่ออาชญากรรมร้ายแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การประหารคนจำนวนมากครั้งนี้ถูกวิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน และตั้งคำถามต่อองค์มกุฎราชกุมารที่ทรงสัญญาว่าจะปฏิรูปประเทศ แต่กลับใช้วิธีทารุณและตัดสินคดีกันอย่างลับๆ ต่อกลุ่มนักโทษที่ถูกประหาร
ไม่เฉพาะปีนี้ เมื่อปี 2559 ทางการซาอุฯ เคยประหารนักโทษ 47 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักบวชนิกายชีอะห์ ที่เดินขบวนต่อต้านผู้ปกครองประเทศมาแล้ว จากนั้นปี 2562 นักโทษซาอุฯ 37 รายถูกประหารด้วยการบั่นคอ ทั้งยังนำศีรษะมาแขวนประจาน เพื่อขู่เตือนคนอื่นๆ ด้วย