เมื่อ “กัญชา” ไม่ใช่…ยาเสพติด

อาจเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดของใครหลาย ๆ คน หลังจากเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ทางการรัฐแคลิฟอร์เนียประกาศให้การเสพ “กัญชา” เพื่อความบันเทิง กลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายใน 10 เมืองของรัฐ

กฎหมายใหม่นี้ทำให้ร้านขายกัญชาที่มีใบอนุญาตในเมืองซานดิเอโกแทบทุกร้านคึกคักมาก ผู้คนเข้าคิวเป็นชั่วโมง ๆ หน้าร้าน ตั้งแต่คนหนุ่มสาวยันคนชรา เพื่อซื้อกัญชามวน หรือกระทั่งอาหารที่ผสมกัญชา

“วิลล์ เซนน์” เจ้าของ “Urbn Leaf” ร้านขายกัญชาถูกกฎหมายในเบย์ปาร์ก ซานดิเอโก เล่าให้กับ “แอลเอไทมส์” ฟังว่า เขาคิดแค่ว่าคนจะมาซื้อกัญชาจำนวนมากกว่าปกติในวันนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะขนาดต่อแถวออกไปนอกร้าน

รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกในอเมริกา ที่อนุญาตให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมายเมื่อ 22 ปีก่อน

ปัจจุบันรัฐแห่งนี้เป็นตลาดที่มีการซื้อขายกัญชาเพื่อการแพทย์ที่ค่อนข้างใหญ่ และถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของประเทศ

ปัจจุบันชาวอเมริกันเริ่มมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการสูบกัญชาเพื่อความบันเทิงในมุมมองที่เปลี่ยนไป ไม่ได้มองว่าเป็นยาเสพติดต้องห้ามอีกต่อไป

“VOX” รายงานผลวิจัยจาก”Gallup” ในปี 2017 ว่า 64% ของประชากรผู้ใหญ่ของอเมริกาสนับสนุน

ให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย เนื่องจากมองว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

จากทศวรรษก่อนที่มีเพียง 36% เท่านั้นที่ให้การสนับสนุน ทำให้ผลโหวตในรัฐแคลิฟอร์เนียกว่า 57% สนับสนุนให้การเสพกัญชาเพื่อความบันเทิงกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายการเสพกัญชาเพื่อความบันเทิงในที่สุด

การเปลี่ยนแปลงล่าสุดนี้ ทำให้การเสพกัญชาเพื่อความบันเทิงเป็นสิ่งถูกกฎหมายใน 10 เมืองในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งไม่รวมลอสแองเจลิสกับซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ โดยกำหนดให้ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ต้องซื้อจากร้านที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามเสพในที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร หรือสวนสาธารณะ และต้องเสพห่างจากเขตโรงเรียน 300 เมตร สามารถครอบครองได้ไม่เกิน 28.5 กรัม

และปลูกได้ไม่เกิน 6 ต้นที่บ้าน และต้องปลูกโดยมิดชิด เนื่องจากยังผิดกฎหมายระดับประเทศอยู่

อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องโทษคดีกัญชา สามารถร้องขอให้ศาลกำหนดโทษให้ใหม่เพื่อล้มล้างโทษ และสามารถร้องขอให้ลบประวัติอาชญากรรมได้

ก่อนหน้านี้มีรัฐเล็ก ๆ เช่น โคโลราโด วอชิงตัน โอเรกอน และอะแลสกา ผ่านกฎหมายดังกล่าวแล้ว

อย่างไรก็ตาม 4 รัฐดังกล่าว มีประชากรรวมกันเพียง 17 ล้านคน และมูลค่าจีดีพีรวมราว 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

ขณะที่รัฐแคลิฟอร์เนียรัฐเดียว มีประชากรมากถึง 40 ล้านคน และจีดีพี 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

แคลิฟอร์เนียจึงกลายเป็นรัฐใหญ่รัฐแรกที่ผ่านกฎหมายอนุญาตเสพกัญชาเพื่อความบันเทิง มีคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ “กรีนเวฟ” ระบุว่า จะมีเงินหมุนเวียนในอุตสาหกรรมกัญชามากถึง 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 ทำให้รัฐเก็บภาษีเพิ่มได้จำนวนมาก

ขณะที่นักวิเคราะห์จากธนาคาร Cowen คาดว่าการผ่านกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำให้อุตสาหกรรมกัญชาของประเทศขยายตัวขึ้น 3 เท่าใน 10 ปีข้างหน้า

การเปลี่ยนแปลงในรัฐแคลิฟอร์เนียที่เกิดขึ้นจะกระจายเป็นวงกว้างมากกว่ารัฐเล็กที่ผ่านกฎหมายฉบับเดียวกันไปก่อนแล้ว หมายความว่าจะมีผู้ขายมากขึ้น มีการผลิตมากขึ้น และมีผู้ซื้อและเสพมากขึ้น

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงถือเป็นแรงกดดันครั้งสำคัญของ “รัฐบาลกลาง” ซึ่งไม่เคยแสดงท่าทีสนใจในการผลักดันให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย และไม่เคยมีความเคลื่อนไหวมาก่อนในระดับประเทศ

โดยผู้สันทัดกรณีรายหนึ่งมองว่า รัฐบาลกลางจะต้องทบทวนใหม่ เนื่องจากกฎหมายประเทศ “กัญชา” ยังเป็นสิ่งผิดกฎหมายนั้น ขัดกับกฎหมายรัฐ และอาจเป็นปัญหา

ขัดขวางการเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชาในภายหลัง เช่น ธนาคารไม่กล้าที่จะให้เงินทุนกับร้านจำหน่ายกัญชา เนื่องจากอาจกลายเป็นการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยาเสพติดผิดกฎหมาย หรือกฎหมายภาษี 280E ที่ระบุว่าธุรกิจค้ากัญชาไม่สามารถยื่นขอหักภาษีได้เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นที่มีสิทธิได้รับตามปกติ ทำให้ร้านค้าอาจจะต้องเสียภาษีเงินได้สูงถึง 90%

ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมกัญชาที่เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องมีการกำกับดูแลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านความโปร่งใส การโฆษณา และการซื้อขาย เหล่านี้คือประเด็นสำคัญที่ทำให้รัฐบาลกลางต้องทบทวนสถานะของสารเสพติดชนิดนี้อีกครั้ง

นอกจากสหรัฐอเมริกา ยังมีบางประเทศที่กำหนดให้การเสพกัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย เช่น เนเธอร์แลนด์ เนื่องจากมองว่าเป็นสิ่งเสพติดประเภทเบา อันตรายต่อร่างกายน้อยกว่าบุหรี่และสุรา นอกจากนี้ยังสามารถช่วยผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เติบโตได้อีกด้วย เพราะมีนักท่องเที่ยว

จากทั่วโลกจำนวนมาก เดินทางมายังดินแดนแห่งกังหันลมเพื่อซื้อหาและเสพกัญชาอย่างถูกกฎหมาย โดยอนุญาตให้บุคคลที่อายุมากกว่า 18 ปีสูบกัญชา และซื้อได้ไม่เกิน 5 กรัม

นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายกัญชาในร้านกาแฟกว่า 200 ร้านทั่วประเทศ