ปีงบประมาณใหม่ (2562) ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 นี้ กรมธนารักษ์มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอธิบดีใหม่ โดย “พชร อนันตศิลป์” อธิบดีคนปัจจุบัน จะไปรับตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต และ “อำนวย ปรีมนวงศ์” รองปลัดกระทรวงการคลัง อดีตลูกหม้อกรมธนารักษ์ จะก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้สูงสุดของกรมธนารักษ์แทน
ซึ่งในห้วงปีงบประมาณ 2561 ที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ได้เข็นผลงานสำคัญต่าง ๆ ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำส่งรายได้เข้ารัฐที่จนถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้จะทำได้ทั้งสิ้น 11,342 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7,400 ล้านบาท ถึง 153% ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการให้เช่าที่ราชพัสดุ
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) พุ่งขึ้น 250 บาท รูปพรรณขายออก 41,950 บาท
โดย “พชร” บอกว่า รายได้นำส่งที่เกินคาดหมายมากนี้ เนื่องจากกรมธนารักษ์ได้ลงนามต่อสัญญาเช่าที่ราชพัสดุกับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้มีการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเข้ามาเกือบ 3,000 ล้านบาท หรือ 30% ของค่าเช่าทั้งหมดราว 12,000 ล้านบาท
ซึ่ง “อมรรัตน์ กล่ำพลบ” รองอธิบดี ในฐานะโฆษกกรมธนารักษ์ ฉายภาพถึงผลงานด้านที่ราชพัสดุว่า ปัจจุบันที่ราชพัสดุมีทั้งสิ้น 12.608 ล้านไร่ หรือ 4% ของที่ดินทั่วประเทศ 321 ล้านไร่ อย่างไรก็ดี เป็นส่วนที่กรมธนารักษ์บริหารจัดการ 10.456 ล้านไร่ ที่เหลือ 2.151 ล้านไร่ ถูกใช้ในราชการเพื่อความมั่นคง
“ส่วนที่ราชพัสดุที่กรมธนารักษ์บริหารจัดการ ก็ใช้ในราชการถึง 96% เหลือเพียงแค่ 4% หรือ 396,000 ไร่ ที่นำมาจัดหาประโยชน์ ซึ่งปีนี้เราหารายได้ได้ 11,342 ล้านบาท ภายใต้ 4% ที่เราบริหารอยู่นั่นเอง โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มรายได้ของกรมปรับเพิ่มขึ้นตลอด จากการที่สัญญาเช่าที่ดินรายใหญ่ ๆ ที่เราหยิบขึ้นมาบริหารจัดการกำลังทยอยเข้าสู่ระบบ อย่างปีนี้ที่มีการต่อสัญญากับไทยออยล์”
ทั้งนี้ “อมรรัตน์” ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษว่า ในส่วนของพื้นที่จังหวัดสระแก้วที่ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้ดำเนินการก็เดินหน้าได้ตามแผน ด้านพื้นที่จังหวัดตราด ที่บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ประมูลได้ไปมูลค่าโครงการราว 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันผู้ลงทุนขอปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ฟากพื้นที่สงขลาก็ได้ส่งมอบพื้นที่ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา และ กนอ.ไปแล้ว ปัจจุบันกำลังเดินหน้าโครงการไปตามแผนที่วางไว้
รวมถึงก่อนหน้านี้ที่ได้มีการเปิดประมูลอีก 3 พื้นที่ ได้แก่ ตาก กาญจนบุรี และนครพนม ซึ่งในส่วนของตากกับกาญจนบุรีได้ผู้ลงทุนแล้ว โดยตากมีมูลค่าลงทุนกว่า 400 ล้านบาท เป็นการลงทุนอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอิเล็กทรอนิกส์ ด้านกาญจนบุรีก็มีมูลค่าลงทุนกว่า 400 ล้านบาท เป็นการลงทุนอุตสาหกรรมกับโลจิสติกส์ ส่วนนครพนมยังไม่มีผู้เข้ายื่นซองประมูล
“เป้าหมายพิเศษในปีีงบประมาณ 2562 จะเปิดประมูลจังหวัดนครพนมใหม่ รวมถึงยังมีมุกดาหาร และหนองคายอีก โดยขณะนี้เราได้ปรับอัตราค่าเช่าใหม่ จากการประเมินราคาที่ดินรายบล็อกมาเป็นรายแปลง ส่งผลให้ค่าเช่าลดลงเหลือไร่ละ 1,800-2,100 บาท/ปี ทำให้น่าจะจูงใจผู้ลงทุนได้มากขึ้น”
นอกจากนี้ที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ยังได้สนับสนุนที่ราชพัสดุให้ใช้ประโยชน์ในโครงการ EEC รวม ๆ แล้วกว่า 7,000 ไร่ ที่ได้ส่งมอบไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงสนับสนุนที่ราชพัสดุในการก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ที่มีการลงนามในสัญญาไปแล้ว มูลค่าลงทุนราว 4,600 ล้านบาท จะใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ระยะเวลาบริหารสัญญา 30 ปี
ทั้งนี้ มีหลายโครงการที่คาดว่าจะทำสัญญาได้ในปีงบประมาณ 2562 อย่างโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ที่ปัจจุบันมูลค่าเพิ่มเป็น 26,000 ล้านบาทนั้น กำลังจะเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน 1-2 สัปดาห์นี้ ขณะที่โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม ได้มีการเจรจาลงตัวหมดแล้ว โดยสัญญาจะเป็น 6 ปี บวก 30 ปี ขยับจากเดิมที่เคยกำหนด 2 ปี บวก 28 ปี
ยังมีโครงการบริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มูลค่า 6,000 ล้านบาท ที่เจรจาเอกชนเสร็จหมดแล้ว อยู่ระหว่างทางอัยการตรวจร่างสัญญา นอกจากนี้ ก็มีโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โซน C ที่จะทำเรื่องเสนอ ครม.ในเร็ว ๆ นี้ มูลค่าลงทุน 30,000 ล้านบาท
นางสาวอมรรัตน์ บอกว่า อีกส่วนหนึ่งที่น่าจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับกรมธนารักษ์ในปีงบประมาณ 2562 ได้เป็นหลักพันล้านบาท ก็คือ การปรับปรุงอัตราค่าเช่าที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะเอกชนรายใหญ่และรัฐวิสาหกิจที่จะครบสัญญาเช่า โดยให้มีอัตราผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 3% จากเดิมเฉลี่ยอยู่แค่ 2% เท่านั้น
ทั้งนี้ สำหรับเป้าหมายรายได้กรมธนารักษ์ในปีงบประมาณ 2562 นั้น จะอยู่ที่ราว 8,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาเป้าหมายอยู่ที่ 7,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในภารกิจเชิงสังคม ยังมีโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายรัฐบาลรวม 8 โครงการ ใน 8 จังหวัด คือ เชียงราย ที่ได้พาสื่อมวลชนลงดูพื้นที่เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมายังมีที่ชลบุรี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ อุดรธานี ขอนแก่น นครพนม และลำปาง รวม 2,757 ยูนิต ทั้งบ้านแฝด บ้านแถว และอาคารชุดพักอาศัย โดยราคาขาย 3.5-7 แสนบาท/ยูนิต ผ่อนชำระได้สูงสุด 30 ปี ซึ่งจะให้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีสิทธิ์ซื้อได้ก่อน ต่อจากนั้นเป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 3.5 หมื่นบาท/เดือน และสุดท้าย ประชาชนทั่วไป
ทั้งหมดนี้เป็นภารกิจสำคัญที่ล้วนก่อให้เกิดมูลค่าต่อระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่ “อำนวย” ว่าที่อธิบดีคนใหม่ จะเข้ามารับไม้ต่อในขวบปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ