หุ้นไทยกังวลโควิดรอบสอง ‘โกลเบล็ก’ เปิดโผ 15 หุ้นแกร่งยังน่าลงทุน

‘บล.โกลเบล็ก’ หวั่นดัชนีหุ้นไทยร่วงต่อ เหตุกังวลการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองในประเทศ-การเมืองไม่มั่นคง-กำไรแบงก์ครึ่งปีแรกต่ำ ประเมินกรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,310 – 1,370 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นปลอดภัย-งบไตรมาส 2 เด่น-อานิสงส์แพ็กเกจ “เราเที่ยวด้วยกัน” พบ 15 หุ้นติดโผ

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลอาจจะกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง และกังวลเพิ่มขึ้นหากมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองในประเทศไทย อีกทั้งการเมืองในประเทศมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการปรับ ครม.ชุดใหม่ ซึ่งนักลงทุนมีความกังวลว่าจะมีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นต่อการลงทุน

รวมถึงในช่วงสัปดาห์นี้กลุ่มสถาบันการเงินจะทยอยประกาศผลการดำเนินงานงวดครึ่งปี 2563 ออกมา ซึ่งคาดว่าตัวเลขจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ธนาคารออกมาตรการช่วยลูกหนี้ตามแนวนโยบายของธปท.ในการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 2 ครั้งในเดือนเม.ย. และเดือนพ.ค. และพักชำระหนี้ ยืดหนี้ให้กับลูกหนี้ จึงให้กรอบดัชนีที่ระดับ 1,310 – 1,370 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ปัจจัยเชิงบวกที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน อาทิ การทดลองวัคซีนในสหรัฐมีความคืบหน้าในทางที่ดี โดย บริษัท Gilead Sciences Inc เปิดเผยผลการทดลองยา Remdesivir พบว่าสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 62% ขณะที่ รพ.จุฬา รายงายว่าวัคซีนโควิด-19 ที่ทดลองในลิงได้ผลดีมาก เตรียมทดสอบในมนุษย์ประมาณช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.63

รวมถึงปัจจัยบวกที่กระทรวงคมนาคมได้รายงานว่าญี่ปุ่นแสดงความพอใจภาพการดำเนินนโยบายพัฒนาพื้นที่ EEC ของไทยที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริง และรัฐบาลไทยยืนยันว่าจะสามารถเปิดให้บริการโครงการต่างๆ ภายในปี 2568 ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อภาครัฐและนักลงทุนของญี่ปุ่น และเอื้อต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับคาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันในปี 2563 เพิ่มขึ้น 0.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากคาดการณ์ในเดือน มิ.ย.63 เนื่องจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง แม้คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันในปี 2563 จะหดตัวที่ระดับ 7.9 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปี 2562

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาปัจจัยต่างๆ อาทิ การประชุม ครม.วันนี้ รวมทั้งจีนจะเปิดเผยยอดนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าเดือน มิ.ย. ขณะที่ทางด้านอียูจะเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ค. และความเชื่อมั่นทางศรษฐกิจเดือน ก.ค. ส่วนสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน มิ.ย.ในวันนี้

ส่วนในวันที่15 ก.ค.จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประชุมและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือน ก.ค.จากเฟดนิวยอร์ก ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือน มิ.ย. การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน มิ.ย. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะรู้ผลในช่วงเช้าวันที่ 16 ก.ค.

นอกจากนี้ จีนเปิดเผยจีดีพีประจำไตรมาส 2/63 อัตราว่างงาน ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในเดือน มิ.ย. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ส่วนสหรัฐก็จะมีการเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือน มิ.ย. ดัชนีการผลิตเดือน ก.ค. ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือน ก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือน พ.ค.

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้แนะจำลงทุนในหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) เช่น  ADVANC INTUCH DIF TTW BEM BTS CHG และ BCH รวมทั้งหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ดี เช่น WICE TASCO และ CPF หุ้นที่ได้ประโยชน์จากแพ็กเกจ “เราเที่ยวด้วยกัน” เช่น ERW CENTEL BA และ ASAP

ด้านแนวโน้มราคาทองคำ ประเมินสัปดาห์นี้ราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของกองทุน SPDR และความกังวลการแพร่ระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 สำหรับผู้ที่มีสถานะให้ถือสถานะที่มีเพื่อรันเทรน ส่วนผู้ที่รอซื้อเน้นซื้อจังหวะย่อตัว เราคาดกรอบราคาทองคำที่ 1,770 -1,830 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือเทียบเท่าทองคำไทย 26,130-27,100 บาทต่อบาททองคำ