เมย์แบงก์ฯ เชียร์ซื้อ 3 หุ้นเด่น อานิสงส์รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่

โบรกฯ แนะนำลงทุน 3 หุ้นเด่นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ ‘CBG-BJC-M’ รับอานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ชี้ในภาวะโควิด-19 หวังพึ่งพารายได้ต่างประเทศจากการท่องเที่ยว-ส่งออกลำบาก

นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ จากการประชุม ครม.นัดแรกเมื่อวานนี้ (13 ส.ค.63) โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบาย พร้อมตั้งศูนย์บริหารและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากโควิด-19 ซึ่งจะมีการหารืออย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในวันที่ 19 ส.ค.นี้

ทั้งนี้ แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจจะยังเน้นการช่วยเหลือประชาชน และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจาก ครม.ชุดก่อน อาทิ ต่ออายุการอุดหนุนด้านพลังงาน LPG ภาคครัวเรือน, NGV รถสาธารณะ, การประกันราคาสินค้าเกษตร และการขยายระยะเวลาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs (วงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท)

โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ที่ถือเป็นมาตรการขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องทำต่อเนื่อง ได้แก่ การมุ่งเน้นกระตุ้นการบริโภค และการฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกยังน่ากังวล บวกกับประเทศต่างๆ ยังคงล็อคดาวน์ ดังนั้น การพึ่งพารายได้จากต่างประเทศอย่างการท่องเที่ยว หรือแม้แต่การส่งออกสินค้าจึงเป็นได้ยาก

ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น ยังคงให้น้ำหนักกับการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งปัจจุบันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/63 นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์สำคัญๆ ในต่างประเทศที่ต้องจับตา นำโดยการประกาศใช้วัคซีนโควิด-19 ของรัสเซียเป็นรายแรกของโลก รวมถึงความไม่แน่นนอนกรณีข้อตกลงทางการค้า เฟส 1 ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่จะมีการหยิบขึ้นมาหารือกันอีกครั้งช่วงสุดสัปดาห์นี้

ดังนั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะดำเนินงานต่อเนื่องคาดว่าเป็นไปเพื่อ “ประคอง” เศรษฐกิจให้ค่อยๆ ฟื้นตัว และเตรียมรองรับหากเกิดการแพร่ระบาดระลอกสอง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าจะมีผลถึงขนาดที่จะสามารถขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยในภาพรวมได้มากนัก ดังนั้น การลงทุนระยะข้างหน้าจึงเน้นเป็นหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเน้นกลุ่มการบริโภคในประเทศเป็นหลัก

CBG: แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากยอดขายเครื่องดื่มคาราบาวแดงที่ฟื้นตัว และเครื่องดื่ม Woody ที่โตตามตลาดเครื่องดื่มเสริมอาหาร (Functional Drink)

BJC: แนวโน้มกำไรช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะฟื้นตัวเช่นกัน และมีโอกาสเติบโตดีขึ้นในปี 2564 โดยเฉพาะธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระป๋องที่มีลูกค้ามากขึ้น หนุนใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นและได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)

M: คาดว่าผลประกอบการผ่านพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 หลังการผ่อนคลายล็อคดาวน์ และแนวโน้มปีหน้าคาดว่ายอดขายจะกลับไปใกล้เคียงกับในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 บวกกับความยืดหยุ่นที่มากขึ้นจากโครงสร้างต้นทุนที่เปลี่ยนไป