ประชุมซอฟต์พาวเวอร์นัดแรกปี’67 “แพทองธาร” เร่งผลักดัน 3 โจทย์ใหญ่

ประชุมซอฟต์พาวเวอร์
ภาพจาก เฟซบุ๊กไลฟ์ กระทรวงการต่างประเทศ

ประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นัดแรก ปี’67 “แพทองธาร ชินวัตร” นั่งหัวโต๊ะ เร่งผลักดัน 3 โจทย์ใหญ่ แก้ไขการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์-สร้าง One Stop Service ติดต่อภาครัฐ-เดินหน้า พ.ร.บ. THACCA

วันที่ 4 มกราคม 2567 เมื่อเวลา 13.30 น. ที่วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567

โดยมีกรรมการเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นายดวงฤทธิ์ บุนนาค คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติสาขาออกแบบ เป็นต้น

ประชุมซอฟต์พาวเวอร์นัดแรกปี’67

น.ส.แพทองธารแถลงภายหลังการประชุมว่า การประชุมซอฟต์พาวเวอร์ มีการพัฒนาไปอย่างมาก โดยมี 3 เรื่องในการแก้ไขกระบวนพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1. การแก้ไขกระบวนการพิจารณาเซ็นเซอร์ภาพยนตร์

ADVERTISMENT

การแก้ไขกระบวนการพิจารณาเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วม พร้อมสนับสนุนเสรีภาพในการออกแสดงของสื่อและเสรีภาพในการสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งที่ผ่านมามีข้อจำกัดในการแสดงความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างเยอะ

การเซ็นเซอร์ของภาพยนตร์ก็ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากภาคเอกชนมาหลายปี ถึงความไม่สมเหตุสมผลของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงความไม่ชัดเจนของการพิจารณา

ADVERTISMENT

วันนี้ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง ด้วยการทำงานของกระทรวงวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์สาขาภาพยนตร์และซีรีส์ ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนใน 3 รูปแบบ คือ

ส่วนที่ 1 การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยจะเปลี่ยนแปลงทั้งสัดส่วนของคณะกรรมการเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตั้งแต่คณะกรรมการชุดใหม่ ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ชุดใหม่ แทนชุด 2 ถึงชุด 6 ที่หมดวาระและรักษาการอยู่ในเวลานี้

โดยจะตั้งคณะกรรมการใหม่ 9 ชุด รวมกับชุดที่ 1 ที่ยังไม่หมดวาระ รวมเป็น 10 ชุด โดยจะแบ่งออกเป็นคณะพิจารณาภาพยนตร์ 8 ชุด และคณะพิจารณาด้านเกม 2 ชุด เพราะเกมและภาพยนตร์มีวิธีคิดและมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ต้องพิจารณาแยกกัน

จุดสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของคณะกรรมการพิจารณาต้องมีสัดส่วนของเอกชนมากกว่ารัฐบาล เพราะเอกชนเป็นผู้รู้จริงในสาขาเฉพาะทาง ทำให้มีสัดส่วนของเอกชนมากขึ้น โดยการกำหนดประธานพิจารณาแต่ละชุดให้เป็นเอกชนที่มีคณะกรรมาธิการที่มาจากภาคเอกชน 3 คน และจากภาครัฐ 2 คน รวมเป็น 5 คน จากเดิมที่มีเอกชน 3 คนและภาครัฐ 4 คน

การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนพิจารณาครั้งนี้ทำให้ภาพยนตร์ไทยได้รับการพัฒนาเรตติ้งที่จะสอดคล้องกับอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยการจัดเรตของคนดูจะเป็นเพียงตัวบอกว่าสิ่งใดเหมาะสม แต่จะไม่ใช่การควบคุมภาพยนตร์ไทยอีกต่อไป น.ส.แพทองธารกล่าว

ส่วนที่ 2 คือการแก้ไขกฎกระทรวงที่กำลังอยู่ในช่วงระหว่างรอการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน สำหรับการแก้ไขกฎกระทรวงที่มาจากประเภทเรตของภาพยนตร์ จะแก้ไขในส่วนของภาพยนตร์ที่ห้ามฉายในประเทศไทย

โดยภาพยนตร์ที่ห้ามฉายในประเทศไทย จะเหลือเพียงข้อกำหนดเดียว คือ เนื้อหาที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนประเด็นอื่นเรื่องศาสนา ความสามัคคี รวมถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ จะถูกจัดในเรตผู้ชมที่เหมาะสมแทนการห้ามฉาย

ซึ่งกระบวนการแก้กฎกระทรวงอยู่ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน และคาดว่าการแก้ไขทั้งหมดนี้จะเสร็จสิ้นในช่วงกลางปีนี้

ส่วนที่ 3 คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงระยะยาว นั่นคือร่างกฎหมายพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับใหม่ รวมถึงการส่งเสริมให้สภาการภาพยนตร์ไทย องค์กรใหม่ภายใต้ THACCA (ทักก้า) มาทำหน้าที่สนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ไปจนถึงการพิจารณาจัดเรตผู้ชมในอนาคต โดยให้เอกชนเป็นผู้จัดเรตผู้ชมด้วยตนเอง

การเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดเรตผู้ชมทั้ง 3 ส่วน คือการเปลี่ยนวิธีคิด ที่ภาครัฐเมื่อก่อนนี้จะเคยเป็นในรูปแบบของการควบคุม โดยการสนับสนุนเสรีภาพ ทำความเข้าใจ สร้างสรรค์ศิลปินทุกคนอย่างเต็มที่

2. One Stop Service

น.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า เรื่องที่ 2 คือการจัดตั้ง “One Stop Service” เพื่อให้เกิดการติดต่อกับภาครัฐให้ง่ายขึ้น โดยรวมการติดต่อหน่วยงานราชการที่เดียว จบที่เดียว จากขออนุญาตเป็น 2 เดือน ก็อาจจะย่นเวลาได้ และทำให้การดำเนินการไปอย่างรวดเร็วขึ้น โดยอุตสาหกรรมแรกที่จะทำ One Stop Service คือ อุตสาหกรรมเพลงและภาพยนตร์

3. พ.ร.บ. THACCA

เรื่องที่ 3 คือ พ.ร.บ. THACCA ที่จะเป็นกฎหมายหลักสำหรับหน่วยงานที่จะมาขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ ตอนนี้ตัวบทกฎหมายใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว ร่างนี้กำลังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ โดยตั้งใจผลักดันให้เข้าสภาภายในกลางปีนี้ ช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567

งบประมาณ 11 อุตสาหกรรม

ด้านนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กล่าวว่า เมื่อครั้งที่ประชุมกันวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ทั้ง 11 อุตสาหกรรมได้เสนอเรื่องงบประมาณที่ต้องใช้มา 5,164 ล้านบาท บางอุตสาหกรรมเสนอเป็นงบฯปี’67 บางอุตสาหกรรมเสนอเป็นปี’67 และ 68 รวมกัน

หลังจากรับหลักการในครั้งที่แล้วก็มีการทำการบ้าน โดยที่สำนักงบประมาณกับทั้ง 11 อุตสาหกรรม ได้ไปดูว่างบฯส่วนไหนเป็นปี’67 หรือ 68

ซึ่งพบว่างบฯปี’67 ประมาณ 3,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นงบฯปี’68 โดยวันนี้ได้มีการนำเสนอแต่ที่ประชุมก็ยังไม่ได้ลงในรายละเอียด ให้ไปทำคำขอกับสำนักงบประมาณต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และเรื่องความคุ้มค่า

สำหรับงบฯ 3,500 ล้านบาทในปี’67 มาจากหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ หรือแม้แต่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอาหาร สถาบันแฟชั่น เป็นต้น

ได้มีข้อสังเกตจากสำนักงบประมาณว่า ในส่วนของงบประมาณ 3,500 ล้านบาท ก็เป็นส่วนที่อยู่ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งกำลังพิจารณาอยู่เกือบ 1,000 ล้านบาท

ดังนั้น ที่ทั้ง 11 อุตสาหกรรมได้เสนอคำขอมาจะนอกเหนือจากที่หน่วยราชการตั้งไว้ประมาณ 2,500 ล้านบาท

งบประมาณ 3,500 ล้านบาทดังกล่าว จะมีการเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ในวันที่ 9 มกราคม 2567 ต่อไป

งบประมาณ 3,500 ล้านบาท กว่าจะใช้งบประมาณได้ต้องหลังเดือนเมษายนไปแล้ว ซึ่งส่วนหน่วยราชการเสนอผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณปี’67 เกือบ 1,000 ล้านบาท ที่เหลืออีก 2,500 ล้านบาท ต้องของบฯกลางเพื่อดำเนินการต่อไป และบางส่วนอาจต้องเร่งขอ ถ้าเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นก่อนเดือนเมษายน เช่น งานสงกรานต์ ก็ต้องรีบทำคำขอ

ทั้งหมดนี้ต้องมีการนำเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติวันที่ 9 มกราคม 2567

นายแพทย์สุรพงษ์กล่าวอีกว่า ตามที่นางสาวแพทองธารได้เน้นย้ำเรื่องการให้เสรีภาพแสดงออกในวงการภาพยนตร์ ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ที่ทำได้เลยตอนนี้คือให้เอกชนสามารถพิจารณาการจัดเรตติ้งภาพยนตร์ได้ เพราะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ที่ตั้งขึ้น เสียงข้างมากและประธานกรรมการคือเอกชน แต่จะต้องมีการแก้ไขกฎกระทรวงต่อไป ให้มาตรการห้ามฉายเหลือเงื่อนไขน้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ ส่วน พ.ร.บ.ภาพยนตร์และ พ.ร.บ.เกมที่จะออกมาใหม่ จะร่างขึ้นมาโดยให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการจัดเรตติ้งเอง