
เปิดเวทีเสียงประชาชนถึงรัฐบาลและรัฐสภารวมพลังคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมยื่น 592,727 รายชื่อ ต่อประธานรัฐสภา ผู้ว่าฯ กทม.ชี้ กฎหมายมีอยู่แล้ว ขอให้ทำอย่างจริงจัง เพราะไปที่ไหนก็ยังเห็นขายเกลื่อน ฟากเด็ก GenZ ร้องรัฐบาล คงกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขาย พร้อมเพิ่มบทลงโทษให้สูงขึ้น
ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.ในโอกาสเป็นผู้แทนกรุงเทพมหานคร (กทม.) และฐานะเจ้าของสถานที่ กล่าวต้อนรับผู้มาร่วมงานการจัดเวทีเสียงประชาชนถึงรัฐบาลและรัฐสภารวมพลังคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า
ยืนยันว่า กทม. ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า และมีการกวดขันจริงจังในกรอบอำนาจของ กทม. นอกเหนือจากการเรียกร้องถึงผู้มีอำนาจในการออกกฎหมายหรือการออกกฎหมายเพิ่มเติมแล้ว อยากขอเรียกร้องให้ผู้บังคับใช้กฎหมายหรือผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องในปัจจุบัน อย่าลูบหน้าปะจมูก กฎหมายมีอยู่แล้ว ขอให้ทำอย่างจริงจัง เพราะไปที่ไหนก็ยังพบเห็นการจำหน่ายอยู่ หากทำอย่างจริงจังบุหรี่ไฟฟ้าก็หายไปได้เพราะมีการห้ามนำเข้าและห้ามจำหน่ายอยู่แล้ว
ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ว่า เครือข่าย ร่วมจัดเวทีรวมพลังคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อยื่นรายชื่อคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า 592,727 รายชื่อ ต่อประธานรัฐสภา ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย หัวหน้าพรรคการเมือง และรัฐมนตรีว่าการสำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อเรียกร้องให้ “คงกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า” รวมทั้ง “เร่งบังคับใช้กฎหมายอย่างเร่งด่วนจริงจัง” เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนไทยจากบุหรี่ไฟฟ้าที่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้
ทั้งนี้ แกนนำนักเรียน GenZ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา 2 กล่าวข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ในการปกป้องเด็กและเยาวชนให้ปลอดภัยจากบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้ 1. ขอให้รัฐบาล คงกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มการกำกับดูแลรวมถึงป้องกันการแทรกแซงนโยบายของบริษัทบุหรี่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
2. ขอให้ภาครัฐและผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย จับกุมร้านค้าหรือผู้ที่ลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มบทลงโทษให้สูงขึ้น รวมถึงเฝ้าระวังและควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จของอุตสาหกรรมยาสูบ
3. ขอให้รัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษา ครอบครัวและชุมชน เร่งสร้างความรับรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็ก เยาวชน และประชาชน และ 4. ขอให้ภาครัฐและกระทรวงที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงาน ด้านการวิจัย และการจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชน รวมถึงนำผลการวิจัยและผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพของเด็กเยาวชนและประชาชน ไปใช้ในการปรับปรุงนโยบายและกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้ามีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งการสำรวจในปี 2565 พบว่าเยาวชนไทยอายุน้อยกว่า 15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้ามากถึง 17.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีอยู่ 3.3% โดยสัดส่วนที่เพิ่มมากที่สุดคือเด็กหญิง คือเพิ่มขึ้นถึง 7.9 เท่า ส่วนเด็กชายเพิ่มขึ้น 4.3 เท่า