‘ญี่ปุ่น’ อาศัยจังหวะชุลมุน ดึงตัว ‘นักวิจัย’ สหรัฐ

A researcher demonstrates the process of compounding the ocean-degradable plastic raw materials at the Center for Emergent Matter Science of Japanese research institution Riken in Wako
A researcher demonstrates the process of compounding the ocean-degradable plastic raw materials at the Center for Emergent Matter Science (CEMS) of Japanese research institution Riken in Wako, Saitama Prefecture, Japan May 27, 2025. REUTERS/Manami Yamada

ขณะนี้หลายชาติในเอเชียต่างพากันออกมาตรการชุดใหญ่ เพื่อดึงตัวนักวิชาการระดับสูงเข้ามาในประเทศ หลังมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐถูกหั่นงบฯวิจัย รวมถึงถูกกดดันให้ตัดสิทธิรับนักศึกษาต่างชาติ ซึ่ง “ญี่ปุ่น” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่จริงจังกับการคว้าตัวผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้อย่างมาก ผ่านโครงการทุ่มเงิน และปรับสภาพการทำงานครั้งใหญ่ในประเทศ

โดยแบบสำรวจของเนเจอร์ (Nature) วารสารวิทยาศาสตร์จากสหราชอาณาจักรพบว่า นักวิจัยกว่า 75% ระบุว่าพวกเขากำลังพิจารณาที่จะย้ายออกจากสหรัฐ หลังมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐถูกประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กดดันให้ปรับเปลี่ยนแนวทางบริหาร เพื่อสอดรับกับนโยบายการต่อต้านการเกลียดชังชาวยิวในมหาวิทยาลัย

และเมื่อ 13 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาตรการฉุกเฉิน วงเงิน 100,000 ล้านเยน หรือ 22,000 ล้านบาท เป็นอย่างน้อย โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักวิจัยต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงจำนวนมาก เพื่อมายกระดับงานวิจัยและพัฒนาของมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น

แผนการดังกล่าวเปิดทางให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น สามารถรับนักวิจัยจากต่างประเทศได้ ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังมาถึงนี้ เพื่อสนับสนุนงานวิจัยโดยเฉพาะสาขาปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีควอนตัม และชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งญี่ปุ่นยังมีงานวิจัยที่เขียนร่วมกับพันธมิตรจากต่างประเทศไม่มากนักในสาขาดังกล่าว

มิโนรุ คิอุจิ รัฐมนตรีเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “มาตรการดังกล่าวจะทำให้ญี่ปุ่นเป็นที่หมายตาของนักวิจัยทั่วโลก”

นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังวางแผนนำผลกำไรที่ได้จากเงินกองทุน 10 ล้านล้านเยน หรือ 2 ล้านล้านบาท มาใช้ปรับปรุงฐานเงินเดือน และสถานที่ทำงานวิจัย เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักวิจัยต่างชาติ เช่น ระบบปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์ข้อมูล รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ด้วย

A researcher demonstrates the process of compounding the ocean-degradable plastic raw materials at the Center for Emergent Matter Science of Japanese research institution Riken in Wako
A researcher demonstrates the process of compounding the ocean-degradable plastic raw materials at the Center for Emergent Matter Science (CEMS) of Japanese research institution Riken in Wako, Saitama Prefecture, Japan May 27, 2025. REUTERS/Manami Yamada

เนื่องจากรายได้ของนักวิจัยในญี่ปุ่นยังต่ำกว่าสหรัฐอยู่มาก ทั้งนี้ โดยเฉลี่ยแล้วรายได้ของนักวิจัยในสหรัฐจะอยู่ที่ประมาณ 155,000-300,000 ดอลลาร์ หรือ 5-10 ล้านบาทต่อปี แตกต่างกันไปตามอันดับของสถาบัน ขณะที่ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยโตเกียว มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 12 ล้านเยน หรือ 2.7 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ดังนั้น การปรับปรุงฐานเงินเดือนจึงจำเป็นอย่างมากในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก

ADVERTISMENT

ขณะที่มหาวิทยาลัยโทโฮคุ ประกาศทุ่มเงินลงทุนกว่า 30,000 ล้านเยน หรือ 6,700 ล้านบาท ภายใน 5 ปี เพื่อดึงนักวิจัยระดับสูงที่ติด TOP 500 ของโลกเข้ามา และตั้งใจว่าจะเพิ่มรายได้ให้กับศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเป็น 30 ล้านเยน หรือ 6.7 ล้านบาทต่อปี

เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยแห่งอื่น ๆ ของญี่ปุ่นที่เพิ่มเงินอุดหนุน และปฏิรูปฐานเงินเดือนเพื่อดึงดูดนักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่น โดยบัณฑิตวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยโอซากา วางแผนระดมทุนราว 600 ล้านเยน ถึง 1,000 ล้านเยน เพื่อดึงตัวนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีปริญญาดุษฎีบัณฑิตอีก 100 คน

นอกจากเรื่องเงินแล้ว ญี่ปุ่นยังเตรียมปฏิรูปสภาพแวดล้อมของการวิจัยให้เอื้อต่อการทำงานของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะเรื่องภาษา ทั้งนี้ แม้ว่าแล็บทดลองหลายแห่งจะดำเนินงานด้วยภาษาอังกฤษ แต่เอกสารการทำงานของหน่วยงานหลายแห่งยังใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก รัฐบาลจึงวางแผนจ้างผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษเข้ามาช่วยเหลือนักวิจัย รวมถึงครอบครัวของนักวิจัยที่ร่วมเดินทางมาด้วย

พร้อมกันนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเสริมความเข้มแข็งในการรับมือกับภัยคุกคามที่มีต่องานวิจัย รวมถึงการลักลอบข้อมูลงานวิจัย โดยจัดตั้งสำนักงานยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยของงานวิจัยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อประเมินความเสี่ยงในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสาขาเทคโนโลยีควอนตัม และเซมิคอนดักเตอร์

ส่วนชาติอาเซียนอย่าง “เวียดนาม” ก็ไม่น้อยหน้า มีความพยายามที่จะดึงตัวแรงงานทักษะสูง มาเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเทคเช่นกัน โดยกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนกฎหมายสัญชาติ เพื่อเปิดทางให้ผู้มีเชื้อสายเวียดนามที่อยู่ในต่างแดนกลับเข้าประเทศ รวมถึงการเสนอวีซ่าพำนักระยะยาว การยกเว้นวีซ่า ลดหย่อนภาษี หรือสิ่งจูงใจอื่น ๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุน นักวิทยาศาสตร์ เข้ามาทำงานและลงทุน

นี่คือเกมการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศกับการแข่งขันยุคต่อไป และเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาประเทศให้ตามทันชาติมหาอำนาจ