คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
หลังจากสหรัฐและพันธมิตรทำการแซงก์ชั่นรัสเซียอย่างรุนแรงเพื่อตอบโต้ที่รุกรานยูเครน โดยปิดกั้นไม่ให้รัสเซียสามารถทำธุรกรรมด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เริ่มมีการพูดหนาหูว่า การแซงก์ชั่นโดยใช้ดอลลาร์มาเป็นเครื่องมือลงโทษ จะทำให้ประเทศต่าง ๆ เมินเงินดอลลาร์และหันไปใช้เงินสกุลอื่นในการค้าขายหรือถือเงินสกุลอื่นไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศแทนดอลลาร์สหรัฐเพื่อกระจายความเสี่ยง
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ “เงินหยวน” ของจีนซึ่งเป็นมิตรใกล้ชิดรัสเซียถูกกล่าวถึงอีกครั้งในฐานะมีศักยภาพที่จะท้าทายดอลลาร์ เนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสหรัฐและชาติตะวันตกที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะหลังจาก ซาอุดีอาระเบียและจีนเล็งจะทำข้อตกลงซื้อขายน้ำมันกันด้วยเงินหยวน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“จิตา โกปินาธ” รองกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟให้สัมภาษณ์ว่า การแซงก์ชั่นรัสเซียจะทำให้ “อิทธิพลของดอลลาร์ลดลง” เพราะว่าประเทศต่าง ๆ จะหันไปกระจายถือเงินสกุลอื่นไว้ในทุนสำรอง ทำให้เกิดความหลากหลายของสกุลเงินในทุนสำรองมากกว่าเดิม
แต่เธอก็ย้ำว่าในระยะกลางไม่มีอะไรมาท้าทายหรือโค่นดอลลาร์ได้ เนื่องจากดอลลาร์มีความน่าเชื่อถือแข็งแกร่ง มีตลาดที่ลึกและการแปลงค่าเป็นไปอย่างเสรี แม้แต่เงินหยวนก็ไม่มีท่าทีจะมาแทนที่ดอลลาร์ในฐานะทุนสำรองหลักของโลกได้
หากพิจารณาสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศที่ธนาคารกลางทั่วโลกถือเอาไว้ จะพบว่าส่วนใหญ่ราว 60% ถือดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ ยูโรประมาณ 20% เยน 5% ปอนด์อังกฤษ 4.5% ขณะที่เงินหยวนมีเพียง 2.5%
“โทมัส ฟิลิปสัน” อดีตรักษาการประธานสภาที่ปรึกษาสภาเศรษฐกิจทำเนียบขาวระบุว่า แม้เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดไล่เลี่ยกับสหรัฐ แต่ทว่า หากดูปริมาณการชำระเงินระหว่างประเทศจะพบว่ามีการใช้ดอลลาร์ถึง 40% แต่ใช้หยวนเพียง 3% หากจีนต้องการให้หยวนขึ้นมาแข่งกับดอลลาร์ต้องปฏิรูปตัวเองอย่างมหาศาล
“ไป่จู เฉิน” อาจารย์ด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียชี้ว่า หากจีนต้องการให้เงินหยวนขึ้นมาแข่งกับดอลลาร์ได้ จะต้องเปิดตลาดมากขึ้นและลดการควบคุมจากรัฐบาล เพราะโดยประวัติศาสตร์แล้วสกุลเงินใดก็ตามที่รัฐบาลมีการควบคุมอย่างมากจะไม่สามารถขึ้นมาเป็นสกุลเงินทุนสำรองหลักของโลกได้
จีนจะต้องปฏิรูปตลาดพันธบัตรเพื่อให้ไปถึงระดับเดียวกับสหรัฐ กล่าวคือ มีทั้งสภาพคล่องสูงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการจะเป็นอย่างนั้นได้จะต้องยกเลิกข้อจำกัดเรื่องดอกเบี้ย ต้องไม่แทรกแซงค่าเงิน อย่างเช่น ทำให้หยวนอ่อนเพื่อหนุนส่งออก อีกทั้งต้องปล่อยให้ธนาคารกลางมีอิสระ โปร่งใส
“ประเทศต่าง ๆ ไว้วางใจว่าสหรัฐจะไม่ทำพัง ดอลลาร์จึงมีความน่าเชื่อถือ แต่สำหรับหยวนแล้วการจะทำให้ประเทศต่าง ๆ รับรู้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยในช่วงที่ยังไม่มีความแน่นอนของสงคราม ดูจะเป็นเรื่องยาก”
“เอสวาร์ ประสาท” อาจารย์ด้านนโยบายการค้า มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ระบุว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้สกุลเงินใดก็ตามได้รับความน่าเชื่อถือให้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศก็คือ ขนาดของเศรษฐกิจและความลึก ความคล่องตัวของตลาดเงิน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีกรอบการทำงานของสถาบันที่นักลงทุนต่างชาติให้ความเชื่อถือ มีธนาคารกลางที่เป็นอิสระ มีหลักนิติรัฐ มีสถาบันที่คอยตรวจสอบถ่วงดุล แต่สำหรับจีนแล้วยังไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว
“มาร์แชล กิตเทลอร์” หัวหน้าฝ่ายวิจัยบีดีสวิสกรุ๊ปชี้ว่า การที่สกุลเงินใดจะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งทั้งในแง่สกุลทุนสำรองหลักหรือสกุลหลักในการค้าขายระหว่างประเทศ สิ่งสำคัญคือจะต้องสามารถกระจายปริมาณเงินออกไปทั่วโลกให้มากที่สุด จะต้องมีองค์กรขนาดใหญ่ที่จะทำหน้าที่ซัพพลายปริมาณเงินออกไปนอกประเทศให้มากที่สุด ซึ่งดอลลาร์สหรัฐทำสิ่งนี้สำเร็จเพราะดำเนินนโยบายขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาโดยตลอดอย่างน้อยก็นับจากปี 1980 ดอลลาร์จึงสะพัดอยู่ทั่วโลก
การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (นำเข้ามากกว่าส่งออก) นั่นหมายถึงว่าต่างชาติเป็นผู้ซื้อสินทรัพย์การเงินสุทธิของสหรัฐ ทำให้ต่างชาติสามารถสะสมดอลลาร์เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศได้มากพอ มีผลให้ดอลลาร์หมุนเวียนอยู่นอกสหรัฐมาก
แต่จีนทำตรงข้าม คือ ดำเนินนโยบายบัญชีเดินสะพัด “เกินดุล” อย่างมาก ซึ่งหมายถึงว่าจีนกลายเป็นผู้ซื้อสินทรัพย์เงินตราต่างประเทศสุทธิ ต่างชาติจึงไม่มีโอกาสสะสมเงินหยวนไว้ในทุนสำรอง
จีนใช้การส่งออกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงไม่อยากให้สกุลเงินของตัวเองกลายเป็นสกุลที่ชาติต่าง ๆ ถือเป็นทุนสำรองหลัก เพราะหมายถึงว่าจะทำให้เงินหยวนแข็งค่า ทำให้แข่งขันด้านส่งออกได้ยาก