“สรรพากร”หนุนคนไทยมีลูกคนที่สองลดหย่อนเป็น6หมื่นบาท/ปี-ค่าใช้จ่ายฝากท้องลดหย่อนได้อีก6หมื่นบาท/ปี

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับคนที่มีบุตรให้มากขึ้น สนับสนุนให้คนไทยมีบุตรเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันสังคมไทยนิยมมีลูกน้อยลง ส่งผลให้ประชากรวัยเด็กลดลง และทำให้ไทยกำลังเข้าสู่สังคมคนชรา ซึ่งหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ จะกลายเป็นปัญหาทางสังคม คนวัยแรงงานจำนวนน้อย ต้องแบกรับภาระดูแลคนสูงอายุจำนวนมาก

นายประสงค์กล่าวว่า การแก้ไขประมวลรัษฎากร ในเรื่องค่าลดหย่อนบุตร น่าจะเริ่มใช้ในปีภาษี 2561 เป็นต้นไป มีผลยื่นแบบแสดงรายการภาษีเดือนมกราคม-มีนาคม 2562 ขณะนี้ได้ส่งตัวร่างให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พิจารณาแล้ว ซึ่งตามกฎหมายกรมสรรพากรในปัจจุบัน ให้ค่าลดหย่อนบุตร สำหรับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรตามสายเลือดได้ 3 หมื่นบาท/คน /ปี โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร และทั้งสามีและภรรยา สามารถนำค่าลดหย่อนนี้ไปหักลดหย่อนภาษีได้คนละ 3 หมื่นบาท (ไม่ต้องหารครึ่งระหว่างสามีและภรรยา) จากเดิมก่อนหน้านี้กฎหมายเคยกำหนดว่า การหักลดหย่อนบุตรได้ไม่เกิน 3 คน

“การแก้ไขกฎหมาย ในเรื่องการลดหย่อนบุตรดังกล่าว ที่จะเริ่มใช้ในปีหน้านั้น จะเป็นอีกครั้งที่กรมสรรพากร เพิ่มแรงจูงใจให้คนมีบุตรมากกว่า 1 คน กล่าวคือ สำหรับบุตรคนแรก จะได้รับการลดหย่อนตามเดิมคือ 3 หมื่นบาท/ปี แต่สำหรับบุตรตั้งแต่คนที่สองเป็นต้นไป จะสามารถหักลดหย่อนได้คนละ 6 หมื่นบาท/ปี เมื่อตั้งครรภ์แล้ว และไปฝากท้องกับโรงพยาบาล กรมก็จะให้ค่าลดหย่อนในกรณีฝากครรภ์ อีก 6 หมื่นบาท/ปี” นายประสงค์กล่าว

นายประสงค์กล่าวว่า การใช้มาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้คนอยากมีลูกมากขึ้นนั้น เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยเพิ่มจำนวนประชากรในประเทศ แต่จำเป็นต้องมีมาตรการอื่นๆ เพื่อรองรับ เช่น เมื่อจำนวนคนเกิดน้อยลง มหาวิทยาลัย และโรงเรียนต้องปรับตัวอย่างไร เช่น จะต้องปรับหลักสูตรอย่างไร เพื่อรองรับคนในอนาคต หรือด้านการจ้างงาน เมื่อกำลังคนน้อยลง จะต้องรับมืออย่างไร เป็นต้น

“การเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรของกรมสรรพากร เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความพยายามแก้ไขปัญหาจำนวนประชากรของประเทศที่ปรับลดลง เป็นการส่งสัญญาณให้สังคมตระหนักว่า เรื่องดังกล่าวกำลังกลายเป็นปัญหาในสังคมและจำเป็นต้องแก้ไข ส่วนเรื่องภาษีที่ลดลงจากมาตรการดังกล่าวนั้น ยังคำนวณไม่ได้ว่าจะมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่ามาตรการดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่” นายประสงค์กล่าว

 

ที่มา : มติชนออนไลน์