“สิงห์ เอสเตท” คิกออฟ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” ชวนสร้างปอดให้โลก ลดคาร์บอนได้ด้วยนิ้วมือเรา

สถิติของกรมป่าไม้ ในปี 2564 ระบุว่า ป่าในประเทศไทยมีจำนวน 102,212,434.37 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.59 ของพื้นที่ทั้งหมด ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียน หน่วยงานภาคเอกชนที่ให้ความสำคัญกับการมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน สร้างสมดุลระหว่างการทำธุรกิจ การดูแลสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือสังคม จึงเดินหน้าเพิ่มพื้นที่สีเขียว และสร้าง “ปอด” ของประเทศให้เติบโต ช่วยให้มีอากาศบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงชีวิตมากขึ้น

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เบอร์ต้นของไทย ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ คือหนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้คิกออฟโครงการระยะยาว “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” โดยใช้พื้นที่ 625 ไร่ จาก 8,000 ไร่ ภายใน สิงห์ ปาร์ค จังหวัดเชียงราย นำร่องในการปลูกป่าแห่งอนาคต 

ร่วมแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เพิ่มพื้นที่กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างความสมดุลทางระบบนิเวศ ก่อนจะขยายไปสู่ป่ากลางน้ำหรือป่าในเมือง จนถึงพื้นที่ป่าปลายน้ำ หรือป่าโกงกาง ที่เกาะพีพี ต่อไป 

นิ้วเล็กๆ ของทุกคน สร้างอากาศดีๆ ให้เกิดขึ้นได้

ระหว่างที่ทุกคนสัมผัสบรรยากาศอันร่มรื่นเขียวขจี สูดอากาศสดชื่นบริสุทธิ์ ท่ามกลางหมอกบางๆ ที่ สิงห์ ปาร์ค ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท ก็เล่าถึงที่มาของโครงการนี้ว่า ภายใน สิงห์ เอสเตท มีการพูดคุยกันเสมอว่า แม้บริษัทจะสามารถสร้างโรงแรมที่พักได้สวยงามแค่ไหน แต่การสร้างธรรมชาติให้สวยงามนั้นยากกว่าหลายเท่า

Advertisment

ดังนั้น จึงตั้งใจดำเนินโครงการ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” ที่ สิงห์ ปาร์ค เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ และวางให้เป็นป่าต้นน้ำแหล่งสำคัญของประเทศ 

“เราตั้งเป้าหมายของโครงการใน 10 ปีข้างหน้าไว้ว่า จำนวนพื้นที่ป่าที่เราปลูก จะต้องเท่ากับพื้นที่โครงการอสังหาริมทรัพย์ของสิงห์ เอสเตท ทั้งหมด หากเรามีพื้นที่ก่อสร้าง 1 ล้านตารางเมตร เราก็จะปลูกต้นไม้ให้ได้ 1 ล้านตารางเมตรเช่นกัน 

“ไม่เพียงแค่นั้น สิงห์ เอสเตท จะขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และจะร่วมกับชุมชนใกล้เคียง รวมถึงพันธมิตรเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีความน่าอยู่ยิ่งขึ้น”

Advertisment

ด้าน รวินทร์ ชมพูนุชธานินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เสริมว่าพนักงานเครือบุญรอดให้ความสำคัญกับธรรมชาติ และการสร้างความยั่งยืนมาตลอด แม้โครงการจะนำร่องที่จังหวัดเชียงราย แต่มั่นใจว่าจะสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนให้ทั้งประเทศ และโลกทั้งใบได้มหาศาล

“ปอดที่นี่พร้อมส่งอากาศดีให้คนทั่วโลก เราเชื่อว่ายิ่งมีปอดที่แข็งแรงเท่าไหร่ โลกก็จะยิ่งน่าอยู่มากขึ้นเท่านั้น และจะช่วยส่งต่อสิ่งดีๆ ไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน”

ส่วน ศิริธร ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายภาพลักษณ์องค์กร และการพัฒนาอย่างยั่งยืน สิงห์ เอสเตท เพิ่มเติมว่า สิงห์ เอสเตท ยังทำงานกับสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงราย เพื่อขยายพันธุ์สัตว์และแมลงต่างๆ ให้รองรับการเติบโตของแมกไม้นานาพันธุ์ในอนาคตด้วย

“ถ้าป่าไม่มีสัตว์ ป่าก็ไม่ขยาย ถ้าสัตว์อยู่อย่างมีความสุข ป่าก็จะขยายตัวได้เร็วขึ้น เราทำพื้นที่ผืนนี้ให้ผีเสื้อบินได้ มีพื้นที่ให้นกพักพิง เรายังมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ที่สามารถดูดน้ำไปใช้ดับไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย เรามองเห็นความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ ว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามมา”

ต้นน้ำแห่งความสุข จากเหนือสุดของประเทศ

จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ป่าเยอะถึง 2,845,312.24 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 39.58 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอในสายตาของ ภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัด การที่ สิงห์ เอสเตท ทำภารกิจเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเหนือสุดของประเทศ จึงเป็นเรื่องดีที่ทุกฝ่ายได้ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นกับประเทศร่วมกัน 

“เราอาจไม่ได้ผลิตคาร์บอนเยอะ แต่เราจะช่วยเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน ผ่านการเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำ ผมยินดีแทนพี่น้องชาวเชียงรายทุกคน ที่องค์กรเอกชนขนาดใหญ่หลายแห่งเห็นด้วยกับการดูแลธรรมชาติ และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาบ้านของเราให้เติบโต”

ขณะที่ อำพร จี๋มะลิ หัวหน้าฝ่ายปลูกป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 เชียงราย อธิบายว่า กรมป่าไม้ ทำงานร่วมกับ สิงห์ เอสเตท เพื่อเลือกพันธุ์ไม้ที่จะช่วยลดคาร์บอนได้อย่างเห็นผล อย่างไม้พะยูง ไม้ประดู่ ไม้แคนา ไม้แดง ไม้ตะเคียนทอง ซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ มีคุณสมบัติครบถ้วนในการดูดซับคาร์บอนทุกประการ และจะปลูกทั้ง 5 พันธุ์ผสมผสานกันไป จนเกิดป่าที่ใกล้เคียงกับป่าตามธรรมชาติที่สุด ก่อนปลูกต้นไม้ชนิดอื่นๆ เพิ่มเติมในปีต่อๆ ไป

ผนึกกำลังพันธมิตร รวมเทคโนโลยีสุดล้ำรักษ์โลก

นอกจากจับมือกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรอีกรายที่สำคัญของสิงห์ เอสเตท ก็คือ บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ขนเอาเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งรถขุดคูโบต้า ขนาด 3 ตัน รุ่น U35 และ รุ่น KX91-3S2 รวมถึงแทรกเตอร์คูโบต้า 50 แรงม้า รุ่น L5018 SP พร้อมเครื่องเจาะหลุม DR550 สำหรับเตรียมหลุมให้เหมาะสมต่อการปลูกต้นกล้า 

นอกจากนี้ยังมีโดรนการเกษตร ขนาด 20 ลิตร รุ่น AGRAS T20 เพื่อพ่นปุ๋ยบำรุงหลังการปลูกป่า ช่วยให้ต้นไม้ใน สิงห์ ปาร์ค เติบโตอย่างสวยงาม และยืนต้นได้อย่างมั่นคงไปอีกนานหลายสิบปี

พิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ สยามคูโบต้า เผยว่า การจับมือกับ สิงห์ เอสเตท ไม่เพียงช่วยให้โลกน่าอยู่ยิ่งขึ้น แต่ยังสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่ตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปี 2573 จะลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ 50% และต้องเหลือศูนย์ ภายในปี 2593 ซึ่งจะช่วยให้โลกน่าอยู่ยิ่งขึ้น

พันธมิตรที่แข็งแกร่งอีกรายคือ บริษัท ไทยคม จำกัด ซึ่ง ปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยคม บอกว่า บริษัทนำดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลกสุดล้ำ สามารถประเมินและวัดค่าการดูดซับคาร์บอนได้อย่างแม่นยำ และพบว่าการปลูกป่า 625 ไร่ ที่ สิงห์ ปาร์ค ครั้งนี้ จะช่วยดูดซับคาร์บอนได้กว่า 3,300 ตัน ในระยะเวลา 10 ปีเลยทีเดียว

“เราจะเอาเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่มีใครใช้ในภูมิภาค มาช่วยประเมินว่าเราจะช่วยโลกได้เท่าไหร่ เรายินดีที่ได้ร่วมโครงการดีๆ ในวันนี้และอนาคต เพราะเราอยากมีส่วนร่วมเในการผลักดันสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยเช่นกัน” ซีอีโอ ไทยคม ทิ้งท้าย

ผู้สนใจโครงการ และอยากเป็นส่วนหนึ่งในการรักษ์โลก สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว ได้ทาง https://www.singhaestate.co.th/campaign/enrichingtogether/ หรือเฟซบุ๊ก Singha Estate