แอปพลิเคชันติ๊กตอก (TikTok) ถูกปิดกั้นการใช้งานผ่านเครือข่ายและอุปกรณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ แคนาดา และสหภาพยุโรป แต่มาตรการเหล่านี้จะส่งผลและประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
ตอนที่ติ๊กตอกใช้งานไม่ได้กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายของมหาวิทยาลัยเมื่อช่วงต้นปีนี้ ลิซ บารร์ รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย
แต่ภายในเวลาไม่นาน นักศึกษาหญิงผู้นี้ก็หาวิธีหลบเลี่ยงการปิดกั้นดังกล่าวโดยการใช้ “เครือข่ายส่วนตัวเสมือน” (virtual private network หรือ VPN)
การปิดกั้นการใช้งานติ๊กตอกมีขึ้นหลังจากทางการรัฐแมริแลนด์ สั่งห้ามการใช้แอปพลิเคชันนี้ผ่านเครือข่ายของรัฐบาล โดยอ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ
ลิซ วัย 18 ปีที่ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่วิทยาลัยเซนต์แมรีแห่งแมริแลนด์ บอกว่า “ฉันรู้สึกหงุดหงิด เพราะฉันพักอยู่ที่นี่และรู้สึกเบื่อ…แต่ตอนนี้มันใช้งานได้อีกครั้ง มันเลยไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
การหลบเลี่ยงการปิดกั้นดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ กำลังเผชิญในการปราบปรามติ๊กตอก ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
กระแสต่อต้านติ๊กตอก ซึ่งเป็นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนที่ชื่อ ByteDance และมีผู้ใช้งานกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลกกำลังรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งนักการเมืองจากทุกฝักฝ่ายได้เรียกร้องให้เพิ่มการควบคุมการเข้าถึงแอปพลิเคชันนี้ โดยชี้ว่าข้อมูลที่ติ๊กตอกได้จากผู้ใช้งานอาจถูกรัฐบาลจีนนำไปใช้ในการสอดแนมคนอเมริกัน และมีอิทธิพลต่อการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทางการสหรัฐฯ ในหลายรัฐ เช่น แมริแลนด์ ออกมาตรการห้ามใช้ติ๊กตอกผ่านเครือข่ายและอุปกรณ์ของรัฐ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้งานติ๊กตอกได้จากระบบของห้องสมุดสาธารณะ มหาวิทยาลัย และสถานที่อื่น ๆ
ประธานคณะผู้บริหารติ๊กตอกมีกำหนดปรากฏตัวต่อสภาคองเกรส 23 มี.ค.นี้ ซึ่งจะมีการหารือถึงข้อเสนอให้มีการสั่งห้ามใช้ติ๊กตอกทั่วประเทศ ขณะเดียวกันบริษัทก็อยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่สามารถทำได้เพื่อแก้ปัญหาความกังวลด้านความมั่นคงของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความวิตกกังวลดังกล่าวจะไม่ทำให้กลุ่มผู้ใช้งานหลักของติ๊กตอก (คนอายุต่ำกว่า 25 ปี) เสื่อมความนิยมลงเลย
มหาวิทยาลัยโอคลาโฮมาได้ประกาศปิดกั้นการใช้งานติ๊กตอกผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายของมหาวิทยาลัยตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปีก่อน
คริสโตเฟอร์ เฟิร์ช ประธานสภานักศึกษาบอกว่า แม้ในช่วงแรกมาตรการนี้จะสร้างความประหลาดใจและความหงุดหงิดให้เหล่านักศึกษา แต่ “ผู้คนก็หาทางแก้ได้อย่างรวดเร็ว” โดยการหันไปใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือของตัวเองแทน
“ผมไม่อยากต่อต้านประเด็นด้านความมั่นคงของชาติ…แต่ผมคิดว่าผู้คนแค่มองว่า ‘นี่มันแย่จริง’ แล้วหัวเราะไปกับมัน พวกเขาไม่ได้คิดจริงจังกับมันมากนัก” เขาบอก
แม้ความกังวลดังกล่าวจะถูกเพิกเฉยจากวัยรุ่น แต่กระแสสนับสนุนห้ามการใช้งานติ๊กตอกกำลังเพิ่มขึ้นในหมู่ชาวอเมริกัน
ผลสำรวจของบริษัท Morning Consult เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า 53% ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเห็นด้วยกับการออกมาตรการห้ามใช้แอปพลิเคชันของจีนทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ที่มีผู้สนับสนุนเพียง 29%
อย่างไรก็ตาม จอร์แดน มาร์แลตต์ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีจาก Morning Consult ชี้ว่า ชาวอเมริกันอายุ 18-25 ปีมีความกังวลเรื่องการแข่งขันกับจีนน้อยกว่าคนวัยผู้ใหญ่ และมีความไม่ไว้ใจรัฐบาลสหรัฐฯ มากกว่า อีกทั้งมีทัศนคติเชิงบวกต่อโซเชียลมีเดียมากกว่า
ผลสำรวจเดียวกันนี้ยังพบว่า มีคนวัยหนุ่มสาวไม่ถึง 1 ใน 3 ที่สนับสนุนการห้ามใช้แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียของจีน
ลิซ นักศึกษาที่วิทยาลัยเซนต์แมรีแห่งแมริแลนด์บอกว่าเธอได้ให้ข้อมูลส่วนตัวแก่หลายแอปพลิเคชัน และสงสัยว่าข้อมูลของเธอจะมีประโยชน์แค่ไหนกัน
“ฉันเข้าใจเรื่องการห้ามใช้งานตามสถานที่ราชการ เพราะมีความเปราะบางมากกว่า แต่นักศึกษาอย่างฉันไม่ได้มีความสำคัญถึงขนาดนั้น…”
ส่วนอินิโก ธอร์เนลล์ วัย 25 ปีที่ทำงานในนครนิวยอร์ก และใช้ติ๊กตอกมา 2 ปีแล้ว บอกว่า “มันยากที่จะเพ่งเล็งบริษัทโซเชียลมีเดียเพียงเจ้าเดียว และไม่สนใจเจ้าอื่น ๆ ที่เหลือ…ฉันไม่คิดว่ามีอะไรในติ๊กตอกของฉันที่เป็นข้อมูลสำคัญ”
ติ๊กตอกระบุว่าบริษัทมีมาตรการเข้มงวดที่จำกัดผู้เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกัน และจะไม่ให้ข้อมูลเหล่านี้ต่อรัฐบาลจีน แม้จะมีคำร้องขอก็ตาม
ติ๊กตอกชี้ว่า การห้ามใช้งานติ๊กตอกคือ “การควบคุมการแสดงความคิดเห็นของชาวอเมริกันหลายล้านคน” และทางการสหรัฐฯ ควรอนุมัติข้อตกลงภายใต้การเจรจากับคณะกรรมการกํากับดูแลการลงทุนจากต่างประเทศของสหรัฐฯ มากกว่า ซึ่งกำหนดให้เก็บข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกันในสหรัฐฯ และกำหนดการควบคุมอื่น ๆ
แต่ท่ามกลางกระแสต่อต้านจีนที่พุ่งสูงในหมู่นักการเมืองและผู้นำสหรัฐฯ ทำให้ความพยายามรับรองความปลอดภัยของติ๊กตอกไม่สามารถโน้มน้าวใจสมาชิกสภาคองเกรส ซึ่งเสนอมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชันยอดนิยมนี้
ทิโมธี เอ็ดการ์ อาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยบราวน์ และเป็นอดีตที่ปรึกษาด้ายความมั่นคงทางไซเบอร์แก่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า เหล่าสมาชิกสภานิติบัญญัติมีสิทธิที่จะไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างของติ๊กตอก แต่การห้ามใช้งานไม่น่าจะช่วยแก้ไขความกังวลได้มากนัก โดยชี้ว่าที่ผ่านมาบริษัทผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้เก็บและขายข้อมูลผู้ใช้งานอยู่แล้ว และมีความเสี่ยงที่ต่างชาติจะหาทางเข้าแผ่อิทธิพลและแทรกแซงการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ขณะที่บรูซ ชไนเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางไซเบอร์กล่าวว่า มาตรการห้ามใช้ยังทำได้ยากในเชิงปฏิบัติหากไม่มีการแก้ไขครั้งใหญ่เกี่ยวกับการทำงานของอินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ ที่ออกแบบมาให้เปิดกว้าง
“มันง่ายที่จะพูดว่าลูกจ้างไม่สามารถใช้ติ๊กตอกทางคอมพิวเตอร์ของรัฐบาล แต่วัยรุ่นพวกนั้น…เราไม่สามารถห้ามพวกเขาได้ มันไม่มีทางได้ผล” เขากล่าว
หมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว