ในนาทีนี้ ชื่อและใบหน้าของ วินิจ เลิศรัตนชัย นักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัย 60 ปี กลับมาปรากฏอยู่ตามสื่อต่าง ๆ บ่อยครั้ง ท่ามกลางข่าวคราวทั้งบวกและลบเกี่ยวกับฟุตบอลนัดพิเศษ “เดอะ แมตช์ แบงค็อก เซ็นจูรี่ คัพ 2022” ระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 ก.ค. นี้
“ศึกแดงเดือด” ที่จะมีขึ้นที่ สนามรัชมังคลากีฬาสถาน เป็นครั้งแรกของเอเชีย และครั้งที่ 3 นอกเกาะอังกฤษ คือ การรวบรวมความสนใจ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านการจัดฟุตบอล คอนเสิร์ต และกิจกรรมบันเทิงกลางแจ้งขนาดใหญ่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด
โดยแจ๊คสัน หวัง แห่งวง GOT7 ไอดอลหนุ่มดังจากเกาหลีใต้จะมาแสดงเปิดงาน Red World Opening Live ‘Jackson Wang – Magic Man’ ความยาว 45 นาที ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น
สี่ทศวรรษของชีวิตการทำงาน วินิจสร้างผลงาน และชื่อเสียงให้สังคมรู้จักในบทบาทที่ต่างกัน ย่อหน้าแรกของประวัติของเขาทางวิกิพีเดีย ให้คำจำกัดความเขาไว้ว่า
“วินิจ เลิศรัตนชัย เป็นอดีตนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง และนักธุรกิจจัดคอนเสิร์ตชาวไทย ที่มีผลงานเด่นคือ การแสดงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในรูปแบบต่าง ๆ”
ทว่าความคิด ความเชื่อ และการกระทำของเขาต่อการยกย่องมรดก ค่านิยม และ “ซอฟต์เพาเวอร์” ของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รวมทั้งมุมมองต่อคนไทย ล้วนเป็นเรื่องน่าสนใจ
“คิวละพัน วันละเพลง”
ในวัย 20 ต้น ๆ วินิจเติบโตมากับวงการวิทยุ ในยุคที่เจ้าของรายการต้องหาเงินมาจ่ายค่าสัมปทาน และค่าเช่าเวลา พร้อม กับการแจ้งเกิดของสถานีวิทยุเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องแข่งขันกันอย่างรุนแรง การประชาสัมพันธ์ศิลปินค่ายเพลงต่าง ๆ จึงเป็นช่องทางหารายได้เข้าบริษัท
เขาเป็นดีเจที่ปฏิเสธวิธีเปิดเพลงรับเงินที่เรียกกันว่า “คิวละพัน วันละเพลง” ทำให้มีแฟนจำนวนมาก ชื่นชอบน้้ำเสียง คอยหมุนคลื่นติดตาม และอยากโทรศัพท์ไปขอเพลงเพราะขอได้จากทุกค่าย
วินิจบอกกับนิตยสาร MiX ว่า เขาเป็นดีเจที่ไม่ได้มีหน้าที่แค่เปิดเพลงให้คนฟัง แต่เป็นดีเจที่มีอิทธิพลสามารถผลักดันให้นักร้องออกอัลบัมเพลงทำเป็นธุรกิจได้ ด้วยจรรยาบรรณต้องวิจารณ์ได้ว่าเพลงไหนดีไม่ดี เขายังรู้สึกว่าวิชาชีพถูกดูแคลนกับปัญหาเพลงไทยชอบไปก็อปปี้เพลงจีน และฝรั่ง เขาแก้เผ็ดนำเพลงต้นแบบมาเปิดเทียบให้คนฟัง จนถูกผู้ใหญ่จากบริษัทเทปบางค่ายแจ้งเจ้าของบริษัทที่ทำงานสั่งให้หยุด
ช่วงอ่านข่าวที่สถานีวิทยุพล.ปตอ.ก็มีปัญหาเรื่องคิวละพัน วันละเพลง สมัยนั้นบริษัทเทปที่ออกแผ่นเสียงจ้างดีเจเปิดวันละเพลง ครบเดือนรับเงินหนึ่งพันบาท ครั้งแรกเขาเข้าไปชกดีเจเพราะยอมไม่ได้เมื่อถูกเร่งให้อ่านข่าวเพื่อจะได้เปิดเพลง พอเจอครั้งที่สองถึงขั้นกระโดดถีบเพราะอ่านข่าวยังไม่ทันจบโดนปิดไมค์แบบไม่รู้ตัว ทำให้เขาตัดสินใจลาออก
คนล่าฝัน
วินิจให้สัมภาษณ์นิตยสาร Positioning ว่าฝันอยากเป็นดีเจตั้งแต่เรียนมัธยม เริ่มสะสมแผ่นเสียงทำสตูดิโอเองที่บ้าน และหาข้อมูลเพลงจากผู้รู้ทุกเย็นหลังเลิกเรียนตามร้านขายเครื่องเสียงกับเจ้าของร้าน กับคนขายแผ่นเสียงย่านสะพานเหล็กเพื่อข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ
จนวันที่ฟ้าเปิด เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาเพิ่งจบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) แผนกการโฆษณา โรงเรียนพาณิชยการพระนคร ปี 2525 เขาต้องเลือกเอาระหว่างจะเรียนต่อ หรือไปตามหาฝันกับงานซึ่งถือเป็นใบเบิกทางไปสู่อาชีพดีเจได้ง่ายขึ้น เขาบอกกับบีบีซีไทย เป็นปีที่ชีวิตผกผัน
“เราจบปวส.แล้ว จังหวะที่เราจะเรียนต่อก็ไม่มีโอกาสเรียนต่อเพราะว่า ได้งานที่ชอบก่อน ก็คืองานอ่านข่าวในวิทยุเอเอ็มของปตอ. แล้วก็งานดีเทลขายยา ต้องเลือกเอาอันใดอันหนึ่ง สุดท้ายผมเลือกไปเป็นโฆษกอ่านข่าวเมื่อปี 2525 ผมเองชีวิตมันผกผันผมก็เลยไม่ได้เรียนต่อ”
ความเป็นนักฝันและลงมือทำมีอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องงานและเรื่องอื่น ๆ แม้แต่เรื่องบ้าน เขาให้สัมภาษณ์นิตยสารหลายฉบับว่า ตั้งแต่เด็กฝันว่าชีวิตนี้ต้องมีบ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้ได้ เพราะฝังใจกับบ้านหลังแรกของพ่อกับแม่ที่อยู่ตรงคลองผดุงกรุงเกษม ช่วงวัยรุ่นเขาเคยไปบ้านเพื่อนอยู่ติดริมน้ำแม่กลองทำให้รู้สึกมีความสุขมาก
วันนี้เขามีบ้านหลังใหญ่ราวกับอาณาจักรบนเนื้อที่ 4 ไร่เศษ ตั้งอยู่ริมน้ำส่วนกว้างที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ประกอบไปด้วยพื้นที่ใช้สอยหลากวัตถุประสงค์ เช่น คอกเลี้ยงม้า, เรือนหิ่งห้อย, ท่าจอดเรือ, สวนดอกกุหลาบของภรรยา, สระน้ำขนาด 25 เมตร และสนามฟุตบอลขนาด 7 คน
รวยมาจากไหน
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า วินิจเป็นเจ้าของบริษัทไม่น้อยกว่า 10 แห่ง ครอบคลุมตั้งแต่งานรับจัดการแสดงสินค้า กิจกรรมงานคอนเสิร์ต การแสดงโชว์เพื่อความบันเทิง จัดสวนสนุก สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สถานที่แสดงมหรสพ กิจกรรมตัวแทนขายสื่อโฆษณา ให้คำปรึกษาแนะนำทางธุรกิจและกับผู้ประกอบการ มีแม้กระทั่งธุรกิจให้เช่าพื้นที่ จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจสื่อออนไลน์ชื่อดัง เดอะ สแตนดาร์ด
ส่วนธุรกิจด้านกีฬา มีตั้งแต่บริการสันทนาการให้คำปรึกษาแนะนำทักษะเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอล ธุรกิจการปลีกเครื่องกีฬา บริการด้านส่งเสริมกีฬาและการศึกษา
ผลงานที่สร้างชื่อ อาทิ คอนเสิร์ตเทศกาลฤดูหนาวบนพื้นที่เขาใหญ่, มหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว, คอนเสิร์ต ไซ กังนัม สไตล์, คอนเสิร์ต เคนนี่ โรเจอร์ส ร่วมฉลอง 84 พรรษาราชินี, คอนเสิร์ตแอนเดรีย โบเชลลี นักร้องโอเปร่าชื่อดังของโลก ร่วมกับศิลปินดังรับเชิญ เดวิด ฟอสเตอร์ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ผลงานกิจกรรมเทิดพระเกียรติ ร.9
วิกิพีเดีย ชูว่าผลงานเด่นของวินิจ คือ การแสดงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในรูปแบบต่าง ๆ” ซึ่งวินิจอธิบายกับบีบีซีไทยว่า เขาเริ่มจากการทำงานผ่านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มอบให้เนวิน ชิดชอบ เป็นประธานคณะทำงานจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสงและเสียง 4 มิติ เมื่อปี 2552 ภายใต้ธีม “พ่อ…The Greatest of the Kings The Greetings of the Land”
จากนั้นก็มีโอกาสทำงานถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนที่ทรงประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช หลังจากนั้นได้ทำงานถวายพิธีเปิดสะพานภูมิพล 1, 2 จากประตูน้ำคลองลัดโพธิ์บนเรือพระที่นั่งอังสนาเป็นงานถวายต่อหน้าพระพักตร์ครั้งแรกที่ใกล้ชิด ถัดมาก็เสด็จพระราชดำเนินเรืออังสนาครั้งที่สอง เสด็จไปนนทบุรีเปิดเขื่อน 6 เขื่อน ครั้งท้ายสุดเป็นการเสด็จงานที่ทุ่งมะขามหย่อง
วินิจสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการละครเวทีไทย โดยนำบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกมาจัดแสดงละครเวที “พระมหาชนก เดอะฟีโนมีนอน ไลฟ์ โชว์” ผ่านสื่อมัลติมีเดีย แสงสีเสียง และเทคนิคพิเศษ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา รัชกาลที่ 9
เขาใช้เวลา 3 เดือนกับเงินลงทุนร่วม 200 ล้านบาท เพื่อเนรมิตทะเลสาบสวนเบญจกิติ ภายในศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สร้างเวทีกลางน้ำพร้อมเรือไฮดรอลิคลำใหญ่ยาวกว่า 30 เมตร รวมนักแสดงและทีมงานมากกว่า 1,000 ชีวิต พร้อมกับวงออเคสตร้า บิ๊กแบนด์ที่มีเครื่องดนตรีมากกว่า 60 ชิ้น มีไทยเบฟเวอเรจเป็นผู้สนับสนุนหลัก
ฝันที่ใหญ่กว่า
วินิจบอกบีบีซีไทยว่าศึกแดงเดือด เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ไม่กล้าฝันในตอนแรก แต่เมื่อโอกาสมา เขาก็คว้าไว้ และจะทำมันได้สำเร็จ
“ไม่เคยคิดว่าจะฝันทำได้เลย เพราะว่าเดิมไม่เคยคิดว่าจะทำด้วยซ้ำไปเพราะว่ามันไกลเกินไปที่เราคิดว่าเราจะไปได้เลยครับ แต่ว่าในจังหวะเวลาที่มันถูกที่ถูกเวลา” ก็เกิดขึ้นได้
แม้ภาพของวินิจดูเหมือนผูกติดกับการจัดงานคอนเสิร์ต กิจกรรมบันเทิงกลางแจ้ง แต่เขาก็มีความช่ำชองในการจัดแข่งนัดกระชับมิตรของทีมฟุตบอลดังต่างชาติมาก่อน เช่น ลีดส์ ยูไนเต็ด นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด สมัยที่เขาเป็นผู้บริหารอยู่ที่บริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เมื่อสิบกว่าปีก่อน
สำหรับศึกแดงเดือด วินิจมองว่างานระดับนี้ต้องใช้เงินเป็นพันล้านบาท ซึ่งยังไม่เคยมีคนทำมาก่อน และอาจถอดใจกับปัญหาที่คาดว่าจะมีมากมายแต่เมื่อจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่ เขาจึงยื่นข้อเสนอไปที่ทั้งสองสโมสรดูความเป็นไปได้ ปรากฏว่า “ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างเหลือเชื่อ”
เบื้องหลังของดีลดังระดับโลก วินิจเล่าว่า เริ่มต้นก่อนเกิดสถานการณ์โควิด 19 ผ่านการทำงานร่วมกันของสองเอเจนซีจากต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์และผลงานระดับโลก เช่น ฟอร์มูล่าวันทั้งในเวียดนามและมาเลเซีย หรือคอนเสิร์ตในต่างประเทศระดับแอนเดรีย โบเชลลี และเป็นเอเจนซีที่เขาเคยทำงานร่วมกันมาโดยตลอด
วินิจเปิดเผยว่า เดิมเขาต้องการแค่ดีลกับทีมลิเวอร์พูล ช่วงกำลังจะฉลองแชมป์ในรอบกว่า 30 ปี และการดีลครั้งนั้นใกล้จะจบแล้วด้วย แต่หลังจากเกิดสถานการณ์โควิด 19 ดีลนั้นต้องพับไป เริ่มกลับมาดีลใหม่เมื่อกันยายน 2564 ครั้งนี้เขาโยนโจทย์ที่ยากขึ้นกว่าเดิม ต้องนำทั้งหงส์แดงกับปีศาจแดงมาเจอกันในเมืองไทย
ในการยื่นข้อเสนอให้ทั้งสองทีมมาแข่งที่กรุงเทพฯ วินิจพยายามชักจูงว่า เมืองไทยเป็นฐานใหญ่ของแฟนฟุตบอลของทั้งสองสโมสรในเอเชีย ไทยเรากำลังจะเปิดประเทศที่จะรีสตาร์ทในเรื่องสถานการณ์โควิด และการจัดงานนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วน อีกทั้งจะสามารถดึงแฟนบอลในประเทศเพื่อนบ้านบินเข้ามาดูด้วย
“ไม่ขาดทุน”
วินิจแจกแจงว่างานนี้ต้นทุนประมาณพันล้านบาท กับรายได้ที่จะเข้ามาจากสปอนเซอร์ และจากการขายบัตร 59,000 ใบ ในจำนวนบัตรทั้งหมดแบ่งขายให้กับแฟนบอลในประเทศ และในเอเชียทั้งญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และลาว รวมทั้งบริษัททัวร์ สมาคมฟุตบอลจากต่างประเทศ กับอีกส่วนหนึ่งถูกจัดสรรกระจายให้กับสปอนเซอร์ แขกพิเศษทั้งในและต่างประเทศ รวมโควตาอื่น ๆ งานนี้เขาไม่ขาดทุน
“มารอบนี้เอกชนเต็มเหนี่ยวเลยครับ สนับสนุนแบบเต็มที่ 100% ครับ เต็มที่อย่างไม่เคยมีการสนับสนุนแบบใด ๆ แบบนี้มาก่อน” โดยมีสปอนเซอร์คู่บุญที่ร่วมกันมานาน ได้แก่ กลุ่มวังขนาย และยูโรเปียนฟู้ด
ส่วนการสนับสนุนจากฝ่ายการเมือง และประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เนวิน ชิดชอบ วินิจบอกว่า ไม่ได้ช่วยงานมาหลายปีแล้ว
“จริง ๆ ด้วยระยะทาง ด้วยอะไร คิดว่า เนื่องจากทีมอินเฮ้าส์ที่เกิดขึ้นที่บุรีรัมย์เองก็เป็นทีมน้อง ๆ ที่ทำงานด้วยกันมาอยู่แล้ว ก็แข็งแรงขึ้นนะครับ แล้วก็ทำงานเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ก็ทำงานได้ดี เขาก็ทำงานได้เร็วด้วย เพราะว่ามีงานต้องทำอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่างผมเองก็อยู่ กทม. การไปมานี่ค่อนข้างจะลำบากมากเลย ก็ไม่ได้ไปรับใช้ท่านมาพอสมควรแล้ว หลายปีแล้วครับ”
ฝันต่อยอดพระมหาชนก-องค์บาก สู่ซอฟต์เพาเวอร์
อายุ 60 ปี สำหรับหลายคนคือวัยเกษียณ แต่สำหรับวินิจแล้ว เขาบอกว่า ยังสนุกอยู่กับงาน พยายามออกกำลังกาย รักษาสุขภาพให้ดี
“ผมยังสนุกอยู่ครับเพราะว่า ไปตรวจโครโมโซมมาหมอบอกว่า อายุเพิ่ง 44” เขาเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ
หลังเสร็จศึกแดงเดือด โครงการต่อไปของเขา คือ “งานประพันธ์ดี ๆ” เช่น พระมหาชนก องค์บาก และ ต้มยำกุ้ง มาทำเป็นละครเวทีออกทัวร์ในระดับอาเซียนและเอเชีย
วินิจเล่าว่า มีโอกาสเดินทางไปอังกฤษบ่อยครั้ง โดยเฉพาะชมการแสดงละครเวที เขาเห็นว่าอังกฤษมีสิ่งที่นำไปพัฒนากับงานได้ด้วย เติมความสุขของเราด้วย ในฐานะโปรโมเตอร์เป็นสิ่งที่มาเห็น มาเจอ มาพบ และมาเรียนรู้ และอยากนำสิ่งเหล่านี้่กลับไปพัฒนางานเพื่อให้คนไทยมีโอกาสได้บ้าง แม้เราจะไม่ทันเขาทั้งหมด
เขาเห็นว่าบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกมีปรัชญาความคิดที่น่าสนใจ ซึ่งตัวเขานำมาใช้ในการทำงานอีกด้วย
“เหมือนกับสร้างความอดทน… มีความพยายาม… ความตั้งใจ แล้วก็ไม่ได้ยอมกับอุปสรรคใด ๆ นะครับ คิดดี ทำดี แล้วก็ เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นปรัชญาคำสอนของพระเจ้าอยู่หัวที่ฝังตัวอยู่กับตัวเราเองมาจนถึงทุกวันนี้”
วินิจเชื่อว่าเนื้อหาแนวนี้มีการรับรู้ในระดับสากลแล้วในระดับหนึ่ง และยังเข้ากับแนวคิด ซอฟต์เพาเวอร์ ที่รัฐบาลชุดนี้ให้การสนับสนุน
“ในวิชาชีพเราที่อาจจะเรียกว่าเป็นสื่อมวลชนอีกแขนงหนึ่ง แล้วก็เป็นโปรโมเตอร์ที่จัดงานระดับแบบนี้ ผมคิดว่าเราน่าจะทำทั้งสองด้านนี้ไปควบคู่กันครับ เรามองจากสิ่งที่โลกนี้มีการใช้ ซอฟต์เพาเวอร์มหาศาล อย่างเช่นเกาหลีเราเห็นได้ชัดเลย อื่น ๆ อีกมากมายที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศทั้งทางตรงทางอ้อม ฉะนั้นตรงนี้เราคิดว่าถ้าเราถูกได้รับการขับเคลื่อน ผลักดัน สนับสนุน เราน่าจะมีพลังมากกว่านี้”
ละครเวที และความอิจฉา
นอกจากฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแล้ว วินิจก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของละครเวสต์เอนด์ในกรุงลอนดอน เขาเลือกซื้อตั๋วไปดูละครเรื่องเดียวกัน เช่น เดอะแฟนธอม ออฟ ดิ โอเปรา หรือ ไลออนคิง หลาย ๆ ครั้ง ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน เช่น ดูวิธีคิดในการปรับจากการ์ตูนมาเป็นละครเพลง ดูองค์ประกอบเพลง เสียง นักแสดงและการแสดง
“ผมดูไลออน คิง มากที่สุดเลย…น่าจะไม่ต่ำกว่า 5-6 รอบ” วินิจเล่าให้บีบีซีไทยฟังในช่วงเดือนเมษายนในกรุงลอนดอน
แล้วเขาได้เรียนรู้อะไรอีกจากการเยือนเมืองผู้ดีบ่อย ๆ วินิจตอบว่า ที่เป็นประโยชน์มาก ๆ คือ เรื่องระบบ ระเบียบ และการจัดการ
เขายกตัวอย่างเรื่องสนามฟุตบอลทั้งแอนฟิลด์ และโอลด์แทรฟฟอร์ดว่า
“ทุก ๆ โมเมนต์ มันเป็นโชว์หมด เป็นโมเมนต์ที่…สร้างความประทับใจ โห มันถูกเมมโมรี ถูกฝังเข้าไปในชิปของเราว่า โห นี่คือ ซอฟต์เพาเวอร์ มหาศาลที่ถูกซึมเข้าไปในชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว ทำไมผมต้องมาอังกฤษอยู่ ผมรู้สึกประทับใจเรื่องนี้ เราชอบเรื่องนี้ เหมือนกันเราก็อยากให้คนต่างประเทศชอบคนไทย ไปเห็นเมืองไทยเป็นแบบนี่มั่ง เราคิดว่าแผ่นดินเกิดเรา เรามีความสุข เรามีชีวิต เรามีอะไร อะไรที่มันเป็นจังหวะที่เราจะตอบแทนทั้งตัวเอง ตอบแทนทั้งแผ่นดินเกิดเรา มันเป็นหน้าที่ที่ผมอยากทำนะครับ”
ทว่าเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาคิดอาจยังไม่ได้เกิดได้ทั้งหมด หากกรอบความคิด หรือ mindset ของคนไทยจำนวนหนึ่งที่ “ไม่ชอบเห็นคนอื่นดี ได้ดี” ยังไม่เปลี่ยน
“โรคอิจฉาเต็มไปหมดเลย คือผมคิดว่า เราเห็นคนเขาทำความดี เราน่าจะ appreciate (ชื่นชม) ปรัชญาผม เมื่อเราเห็นดี ถ้าเราอยากดีเราต้องต่อให้ดีกว่าเขา เราไม่ใช่ว่าเราเห็นคนอื่นดีเราจะต้องไปตัดตอนให้เขาล้มลงมาแล้วจะดีแทนเขา ผมว่ามันเป็น mindset ของคนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมที่แบบไม่อยากเห็นคนอื่นดีกว่า มีเต็มไปหมดเลยนะ อันตรายมากเลย”
วินิจยอมรับความรู้สึกนี้ ส่วนนี้ก็มาจากเสียงดูถูกว่าศึกแดงเดือดนี้จะจัดไม่ได้จริงในไทย
“ผมไม่ได้ดูถูกประเทศไทยเองนะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เฮ้ย จะมีคนดูเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก บ้าเหรอ… เราบอบช้ำกับเรื่องนี้มาเยอะ เราควรจะให้โอกาสคนดี สนับสนุนคนเก่ง ดีกว่าอิจฉาคนดี ทำลายคนเก่ง ให้คนเก่ง คนดีอยู่ไม่ได้”
…..
ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว