ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์ภาพ “หุ้นอสังหาริมทรัพย์” รับแบงก์ชาติผ่อนเกณฑ์ LTV  

ลงทุนหุ้นอสังหาฯ “กินปันผล” คุ้มค่า

การประกาศผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้คนสามารถกู้เงินเต็ม 100% ของราคาบ้านได้จากเดิมที่กู้ได้ตั้งแต่ 70-90% ทำให้หุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นการสร้างบ้านหรือคอนโดฯขายปรับตัวขึ้นกันจำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้นำและมีขนาดใหญ่ ปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่แทบจะเลิกสนใจในหุ้นกลุ่มนี้มานานมากแล้ว

เพราะมันเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ “อิ่มตัว” ยอดขายทั้งอุตสาหกรรมน่าจะไม่เพิ่มมาหลายปีและน่าจะลดลงไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ ในอนาคต บริษัทจดทะเบียนต่างก็มียอดขาย “เท่าเดิม” มาไม่น้อยกว่า 4-5 ปีขึ้นไป เช่นเดียวกับกำไรที่ทรง ๆ อยู่เท่าเดิมในช่วงเวลาเดียวกัน รายที่ดีขึ้นก็เป็นข้อยกเว้นและก็น่าจะเป็นเรื่องชั่วคราว อนาคตก็คงโตต่อไปไม่ไหว หลาย ๆ บริษัทเริ่มหันไปทำอย่างอื่นเพิ่ม เช่น ทำห้างสรรพสินค้า หรือทำโรงพยาบาล เป็นต้น

ในส่วนของเจ้าของหุ้นหรือผู้บริหารเองนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจและอาจจะ “ถอดใจ” ที่จะ “ดูแลหุ้น” ที่ส่วนใหญ่ก็ “ไม่ไปไหน” มาหลายปี พวกเขาคงเลิกคิดที่จะได้เงินจากราคาหุ้น แต่ใช้วิธีรับเงินจากการจ่ายปันผลโดยการประกาศจ่ายปันผลที่ดีเมื่อเทียบกับราคาหรือมูลค่าหุ้นของบริษัทมากกว่า ดังนั้นสำหรับนักเก็งกำไรแล้ว หุ้นอสังหาฯจึงอยู่ “นอกสายตา” แต่สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) อย่างผม นี่อาจจะเป็นหุ้นที่ “ลงทุนได้” ถ้าราคาหุ้นถูกพอที่จะเก็บลงทุนระยะยาวเพื่อ “กินปันผล” ที่คุ้มค่า

กางเหตุผลหุ้นใหญ่พร็อพเพอร์ตี้ “ทำรายได้-กำไร” สม่ำเสมอ

เหตุผลก็เพราะหุ้นขายบ้านจัดสรรโดยเฉพาะที่มีขนาดใหญ่และอยู่มานานมากนั้น มีคุณสมบัติที่จะทำรายได้และกำไรที่สม่ำเสมอและในระดับสูงและน่าจะนานพอสมควรต่อไปในอนาคต เหตุผลก็เพราะว่าการแข่งขันโดยรายใหม่ๆ จะมีน้อยมาก และในขณะเดียวกันผู้เล่นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะค่อย ๆ “ตาย” ไปหมด

นอกจากนั้น อัตราการทำกำไรคิดจากผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ROE ก็อยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนใหญ่สูงกว่า 10% ต่อปี และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือปัจจัยในการผลิต เช่น ที่ดินและ “โรงงานหรืออุปกรณ์” ที่อาจจะล้าสมัยหรือถูก “Disrupt” โดยเทคโนโลยีใหม่ก็แทบจะไม่มี

ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันคล้าย ๆ กับธุรกิจที่  “ซื้อมาขายไป” ที่มีต้นทุนคงที่ค่อนข้างน้อย เพราะมักจะมีพนักงานจำนวนน้อย การผลิตก็ใช้วิธีจ้างคนภายนอกมารับเหมาทำงานต่อเมื่อมีการขายแล้ว สินทรัพย์ “ถาวร” หลักที่ใช้ในการผลิตก็มักเป็นที่ดิน ซึ่งไม่มีการเสื่อมค่า และดังนั้นก็จะไม่มีรายจ่าย “ค่าเสื่อมราคา”

สรุปก็คือถ้าไม่มียอดขายหรือรายได้ ต้นทุนก็ไม่เกิดขึ้น นี่เป็นข้อดีที่ทำให้ในยามตลาดซบเซา บริษัทสามารถ “อยู่เฉย ๆ ได้” ซึ่งผมเรียกว่า “จำศีล” เหมือนกบที่อยู่ได้นานและไม่ได้บาดเจ็บหรือเสียหายอะไรมาก พอถึง “ฤดูฝน” หรือภาวะตลาดดีแล้วก็กลับมาทำมาหากินใหม่ได้

PE หุ้นอสังหาฯท็อป 10 ไม่เกิน 10 เท่า ปันผล 4-5%

ประเด็นสุดท้ายก็คือ หุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกรวมกัน  ซึ่งถ้าคิดตามมูลค่าของหุ้นหรือมาร์เก็ตแคปนั้นคงจะสูงมาก อาจจะเกิน 90% ของอุตสาหกรรม ต่างก็มีราคาที่ “ถูกมาก” ค่า P/E เฉลี่ยไม่น่าจะเกิน 10 เท่า หุ้นตัวใหญ่ ๆ มากบางตัวอาจจะแค่ 6-7 เท่า และค่า PB หรือราคาเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีซึ่งเป็นราคาในอดีตของทรัพย์สิน

เช่น ที่ดินที่อาจจะซื้อมานานก็มีค่าไม่เกิน 1 เท่า ซึ่งแปลว่าถ้าเราซื้อหุ้น  เราอาจจะได้เป็นเจ้าของที่ดินในราคาที่ถูกมากก็ได้ และสุดท้ายที่สำคัญมากก็คือค่า Dividend Yield หรือปันผลที่จะได้รับเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อส่วนใหญ่แล้วน่าจะไม่น้อยกว่า 4-5% ขึ้นไป บางตัวถึง 10% ติดต่อกันหลายปีก็มี ทั้งหมดนี้ทำให้ผมคิดว่าหุ้นกลุ่มพัฒนาสร้างบ้านขายนั้นเป็นหุ้น “Value” หรือกลุ่มหุ้นที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับพื้นฐานของกิจการ

ซื้อแล้วก็เก็บรอให้ราคาปรับตัวขึ้นไปจนถึงพื้นฐานที่ควรจะเป็น แต่ถ้าราคาไม่ปรับตัวขึ้นไปเร็วอย่างที่คิด ก็ยังสามารถเก็บกินปันผลปีละประมาณ 5% ไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งก็คุ้มค่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับการฝากเงินที่ให้ผลตอบแทนไม่เกิน 1% หรือการลงทุนในหุ้นกู้ที่ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนไม่เกิน 3%

อยากเห็น “กองทุนหุ้นขายบ้าน”

ผลตอบแทนที่ผมคิดนั้นคงจะมีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ถ้าเรามี “กองทุนหุ้นขายบ้าน” ที่กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลัก ๆ ทั้งหมด แต่เราไม่มีกองทุนแบบนี้ ดังนั้นสำหรับผมแล้วเราอาจจะต้องซื้อหุ้นเป็นรายตัวเพื่อลงทุน

และต่อไปนี้คือหลักเกณฑ์หรือแนวทางในการเลือกหุ้นพัฒนาอสังหาฯที่เน้นการขายบ้าน

เปิดหลักเกณฑ์เลือกหุ้นอสังหาฯ

1.เลือกหุ้นที่มีขนาดใหญ่อย่างน้อยระดับ Top Ten หรือใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรก หุ้นในกลุ่มนี้จะสามารถรักษาระดับยอดขายและกำไรที่สม่ำเสมอเพราะมักจะมีโครงการกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ และอาจจะรวมถึงจังหวัดหลัก ๆ ของประเทศ เช่นเดียวกับระยะเวลาขายและโอนโครงการก็จะกระจายระยะเวลาไม่เสร็จพร้อมกัน ทำให้รายได้และกำไรแต่ละปีจะไม่ผันผวนนัก

2.มีผลกำไรสม่ำเสมอและดี วัดจากมาร์จิ้นหรือกำไรต่อยอดขายไม่ต่ำกว่า 10% ขึ้นไป หุ้นหลายตัวนั้นสูงถึง 20% ก็มี ส่วนกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ROE ก็ควรจะประมาณ 10% ต่อปีขึ้นไป ทั้งหมดนี้ควรเป็นตัวเลขของ “ปีปกติ” ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์พิเศษที่อาจจะรวมถึงปีโควิด-19 ด้วย ในส่วนของฐานะทางการเงินนั้นจะต้องไม่มีหนี้สูงเกินไป จนอาจจะเสี่ยงต่อการล้มละลายได้ในกรณีที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุด

3.เป็นบริษัทเก่าแก่หรือผู้บริหารมีบรรษัทภิบาลที่น่าเชื่อถือ ยิ่งถ้าได้ “ผ่านร้อนผ่านหนาว” เช่น เคยผ่านวิกฤตมาหลายครั้งก็ยิ่งดี เพราะธุรกิจนี้มีโอกาสที่จะเกิดการฉ้อฉลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อทรัพย์สิน เช่น ที่ดินหรืออาคารที่เป็นรายการใหญ่ที่อาจจะสามารถต่อรอง “เงินทอน” ได้ นอกจากนั้นยังทำให้ผู้บริหารมีการบริหารความเสี่ยงจากวิกฤตได้ดีขึ้น เพราะธุรกิจแบบนี้อาจจะประสบปัญหาได้ อย่างเช่น ที่เกิดกับกรณี Evergrande ในจีน เป็นต้น

4.ถ้าบริษัทมีทรัพย์สินดี ๆ เช่น มีหุ้นของบริษัทอื่นหรือมีธุรกิจที่อาจจะมีศักยภาพที่จะทำเงิน ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า ช็อปปิ้งมอลล์ โรงพยาบาลหรือสถานที่ดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ  เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นผลบวกกับบริษัทและอาจจะเป็นตัวที่ทำให้บริษัทสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

5.ราคาหุ้นต้องไม่แพง ค่า PE ปกติต้องไม่เกิน 10 เท่า และมีปันผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 4-5% ขึ้นไป  โดยที่ปันผลนี้น่าจะต้องสามารถจ่ายได้ต่อไปในอนาคตอย่างน้อย 3-4 ปีข้างหน้า แบบเดียวกับที่เคยจ่ายได้ในอดีตหลายปีที่ผ่านมา

 

“VI พันธุ์แท้ต้องจัดการ “ความโลภ-ความกลัว-ความลำเอียง”

คุณสมบัติทั้งหมดนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่เด็ดขาดยกเว้นไม่ได้ เพียงแต่เป็นสิ่งที่พึงประสงค์และเราจะให้น้ำหนักกับแต่ละข้อไม่เท่ากัน แน่นอนว่าบางบริษัทอาจจะไม่เข้าเกณฑ์ทุกข้อ แต่ก็ดีพอใช้ ตัวอย่างเช่น เรื่องของขนาดนั้นอาจจะต่ำกว่าที่กำหนด แต่ถ้ามีปัจจัยอื่นที่ดีมากจนชดเชยได้ เราก็อาจจะเลือกลงทุนในหุ้นตัวนั้นก็ได้ และนี่ก็คือศิลปะในการเลือกหุ้นที่ทุกคนก็จะไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะอนุรักษนิยมและกลัวความเสี่ยงมากกว่า เขาก็ควรจะเลือกปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เป็นหุ้นที่มีความมั่นคงมากกว่าปัจจัยในด้านของการเติบโต  เป็นต้น

เมื่อตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้นอสังหาฯที่เน้นการสร้างบ้านขายแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ จิตใจของเราจะต้องมั่นคงว่าเราไม่ได้เลือก หุ้นโตเร็ว”  เรากำลังเลือกหุ้นแนว “Deep Value” หรือหุ้นแบบ VI ดั้งเดิมที่เน้นเรื่องราคาที่ถูกมาก โอกาสที่หุ้นจะวิ่งขึ้นไปรวดเร็วก็จะน้อย แต่การที่จะแพ้ในระยะยาวก็จะต้องต่ำมาก

แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็ไม่ใช่การลงทุนในตราสารหนี้ที่จะได้ผลตอบแทนแน่นอนในระดับต่ำ แต่เป็นการลงทุนในหุ้นที่ยังมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ เช่นเดียวกันก็ไม่ตัดโอกาสที่จะได้กำไรงดงามแม้ว่าการวิเคราะห์แบบไม่มีความลำเอียงและไม่ได้มองโลกในแง่ดีจะบอกว่ามันคงไม่ใช่ พูดง่าย ๆ ลงทุนหุ้นแนวนี้ อย่าหวังมากถ้าราคาหุ้นไม่ขึ้นเลยทั้งปี เราก็ได้ปันผลคุ้มค่าอยู่แล้ว

แต่ถ้าหุ้นตกลงไปมากล่ะ นั่นก็เป็นไปได้และเราก็ต้องยอมรับ แต่ก็เช่นเดียวกัน มันก็มีโอกาสที่หุ้นอาจจะขึ้นไปงดงามได้เช่นกัน และเราก็ต้องบอกว่า นั่นก็เป็นความ โชคดี นี่ก็จะเป็นสิ่งที่เราควรจะต้องเรียนรู้ก่อนที่จะเป็น  “VI พันธุ์แท้” ที่ต้องจัดการกับความโลภ ความกลัว  และความลำเอียง มากกว่านักลงทุนแบบอื่น