
คดีเขย่าสังคมชนชั้นสูงของปากีสถานมาถึงจุดที่ศาล ตัดสินนายซาฮีร์ จาฟเฟอร์ อายุ 30 ปี ลูกชายมหาเศรษฐีคนดังแห่งวงการอุตสาหกรรมของประเทศ มีความผิดและให้ประหารชีวิต ข้อหาข่มขืนและฆาตกรรม น.ส.นูร์ มุคาดัม อายุ 27 ปี ลูกสาวทูต
ซีเอ็นเอ็น รายงานผลสอบสวนว่า นายจาฟเฟอร์ ผู้ถือสองสัญชาติ ปากีสถาน-อเมริกัน ทำร้ายทารุณหญิงสาวจนถึงแก่ความตาย อีกทั้งยังตัดศีรษะเหยื่อ เพราะโกรธแค้นฝ่ายหญิงปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วย ส่วนพ่อแม่ของฝ่ายชาย ศาลตัดสินให้พ้นข้อกล่าวหาช่วยปกปิดการกระทำของลูก
คดีนี้ไต่สวนยาวนานมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ก่อนที่ผู้พิพากษา อตา รับบานี อ่านคำตัดสินเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2565 โดยให้จำเลยต้องโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ

นายโชกัต อาลี มุกคาดัม พ่อของน.ส.นูร์ กล่าวหลังทราบคำพิพากษาว่า เป็นชัยชนะของความยุติธรรม และขอบคุณสื่อมวลชนที่ทำให้คดีนี้ไม่เงียบหายไป
“วันนี้บทลงโทษที่เป็นเยี่ยงอย่างได้ใช้ต่อผู้ถูกกล่าวหาแล้ว วันนี้วิญญาณลูกสาวผมคงได้สงบสุขแล้ว” พ่อผู้ตายกล่าว
ส่วนชาห์ คาวาร์ อัยการ กล่าวว่า ความยุติธรรมที่มาถึงนี้ ได้สร้างพลังให้กับผู้หญิงปากีสถาน และจะต่อสู้กล่าวหาพ่อแม่ของจำเลยในศาลสูงต่อไป

สำหรับคดีฆาตกรรมและความพยายามที่จะปกป้องฆาตกรที่อยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ก่อให้เกิดกระแสโกรธแค้นในปากีสถานมากกว่าปกติ แม้ว่าคดีความรุนแรงต่อสตรีในประเทศมีสูงอยู่แล้ว และการตัดสินให้ผู้กระทำผิดรับโทษหนัก มีน้อยมาก
ข้อมูลจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน AGHS Legal Aid Cell ระบุว่าคดีที่ตัดสินจำเลยมีความผิด มีอัตราส่วนน้อยกว่า 3% ส่วนคดีนี้ทางกลุ่มดีใจที่คำพิพากษาออกมาเช่นนี้ แต่เรียกร้องให้ศาลอุทธรณ์ยืนคำตัดสินตามศาลชั้นต้น
ด้านกลุ่มสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรตส์ วอตช์ (Human Rights Watch – HRW) ระบุว่า ความรุนแรงต่อสตรีและเด็กสาวในปากีสถาน ทั้งข่มขืน ฆาตกรรม สาดน้ำกรด ทำร้ายในบ้าน และบังคับให้แต่งงาน ปรากฏไปทั่วประเทศปากีสถาน โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้หญิงปากีฯ ตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมมากถึง 1,000 รายต่อปี