สังคมศรีธนญชัย

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ
โดย สาโรจน์ มณีรัตน์

จริงๆ ถ้ามองปรากฏการณ์ของข่าวที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ กันระหว่างข่าวคดีแย่งชิงสิทธิลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 เงินรางวัล 30 ล้านบาท ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้อง 2 รายหลัก ๆ อย่าง

“ครูปรีชา ใคร่ครวญ” ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนเทพมงคลรังษี ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี และ “ร.ต.ท.จรูญ วิมูล” อดีตตำรวจ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างอ้างสิทธิยืนยันในการเป็นเจ้าของลอตเตอรี่มูลค่า 30 ล้านบาททั้งคู่

กับอีกข่าวที่ปรากฏขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้คือ “เปรมชัย กรรณสูตร” ประธานบริหาร และกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวกรวม 4 คน พร้อมหลักฐานซากสัตว์ป่าคุ้มครอง และอาวุธปืนจำนวนหนึ่งบริเวณใกล้เต็นท์ที่พักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ต.ชแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

ที่ล่าสุด “เปรมชัย” และพวกรวม 4 คน ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ดังนั้น ถ้ามองอย่างไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ คิดแบบเด็ก ๆ ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องคิดแบบนักกฎหมาย ผมว่าบุคคลที่กล่าวมาข้างต้นคือ “ศรีธนญชัย” ทุกคน เพราะทุกคนต้างอ้างว่าอีกฝ่ายผิด อีกฝ่ายถูก

อันนี้เป็นของกู ไม่ใช่ของมึง

รวมถึงกับอีกฝ่ายที่บอกผ่านทนายว่าผมไม่ได้ทำอะไรแค่ไปกางเต็นท์นอนชมธรรมชาติ เฉย ๆ และผมขออนุญาตจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่ชำนาญทางจึงหลงเลยเข้าไปในเขตหวงห้าม จนเจ้าหน้าที่มาพบ ส่วนซากสัตว์ป่า และอาวุธปืนที่เห็นมากมายผมค่อยไปให้การในชั้นศาล

เรื่องก็เลยอลเวงอย่างที่เห็น

จนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าสังคมไทยทุกวันนี้เป็นอะไรกันไปหมด จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ พอเราทำผิดอะไรสักเรื่อง นอนก็ไม่หลับ กินก็ไม่ได้ ไม่รู้จะแก้ตัวกับครูบาอาจารย์อย่างไร หรือจะแก้ตัวกับพ่อแม่ญาติพี่น้องอย่างไร

เพราะความรู้สึกผิดบาปมันคอยหลอกหลอน จนทำให้ไม่มีความสุขในห้วงขณะนั้น ทั้งยังรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำ โดยพร้อมจะทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้สิ่งที่เราทำถูกทำโทษโดยเร็ววัน หรือถูกว่ากล่าวตักเตือน เรื่องจะได้จบ

และไม่เฉพาะตอนเด็ก ๆ เท่านั้น แม้กระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ตาม ถ้าทำอะไรผิดสักอย่างจะรู้สึกไม่ดีตลอดเวลา พยายามจะกล่าวโทษตัวเอง และจะไม่พยายามทำเรื่องแบบนี้ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

ผมว่าเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นแต่เฉพาะผมเท่านั้น

คนที่รู้ผิดชอบชั่วดีก็น่าจะเป็นอย่างผมเช่นกันทั้งนั้น เพราะการอบรมสั่งสอนมาจากสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาที่สอนสั่งเราให้เป็นคนที่กล้าเผชิญกับความจริง และความผิด และผมก็เชื่อว่าไม่เฉพาะแต่คนรุ่นผมเท่านั้นที่เป็น เด็ก ๆ รุ่นใหม่สมัยนี้ก็เช่นกัน

แต่เมื่อดูตัวละครที่กล่าวมาข้างต้น พวกเขาอายุไม่ใช่น้อย อาจจะมากกว่า หรือน้อยกว่าผมไม่กี่ปี แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขากระทำ หรือโกหก หรือปฏิเสธความจริงกลับไม่มีอะไรในกอไผ่เลย

ผมถึงบอกว่าสังคมไทยสมัยนี้มันดัดจริต เป็นสังคมของศรีธนญชัยกันหมดแล้ว

จนทำให้คิดว่าคำโบราณที่บอกว่า… “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”

“ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” จะยังใช้ได้อีกหรือเปล่า เพราะเท่าที่เห็นจากหลาย ๆ เรื่องผ่านมาในสังคมไทย ไม่ว่า
จะในแวดวงการศึกษา การเมือง เศรษฐกิจ ต่างมีคนแบบศรีธนญชัยอยู่เป็นจำนวนมาก

ผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด

คนที่ไม่ได้กระทำกลายเป็นผู้ถูกกระทำ

คนที่กระทำกลายเป็นผู้บริสุทธิ์

จนทำให้คนดี ๆ เริ่มท้อถอย และค่อยๆ หลีก หนีไปจากสังคมแห่งความเป็นจริง เพื่อปลีกวิเวกไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะถูกจริต หรือไม่ถูกจริตก็ได้ แต่อย่างน้อยสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ทำให้สังคมไทยเสื่อมถอยอย่างมาก

มิหนำซ้ำ สิ่งที่กระทำยังกระเพื่อมสังคมโดยรวมส่วนใหญ่ให้เกิดความเชื่อในหมู่พวกพ้อง ของตัวเอง จนกลายเป็นความเชื่อแบบผิด ๆ ในลักษณะของสังคมเขา สังคมเราอีกด้วย

ที่สำคัญ ยังทำให้สังคมโดยรวมส่วนใหญ่แตกแยกออกเป็นหลายฝ่าย จนก่อให้เกิดการแบ่งแยก เหมือนอย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เห็นในหลาย ๆ กรณีที่เกิดขึ้นกับประเทศของเรา

ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้กำลังเข้ามาในวงการครู วงการสีกากี และวงการธุรกิจอย่างแยกกันไม่ออก โดยไม่รู้ว่าหากเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบันถูกสอนให้เป็นคนอย่างศรีธนญชัยอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

คิดแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ หรือเรากลายเป็นคนถอยหลังเข้าคลองเสียแล้ว จึงตามไม่ทันกับเรื่องเหล่านี้

จนที่สุดคงต้องปล่อยให้คนอย่างศรีธนญชัยครองบ้านครองเมืองดีกว่า

เพราะ “ความจริง” กับ “ความลวง” เป็นความหมายเดียวกันเสียแล้ว

ใครพอมีความรู้ช่วยตอบที