จุรินทร์ ห่วงเศรษฐกิจโลกปี 66 ผนึกหอการค้าทั่วไทย เปิดกว้างทุกกรอบ FTA

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ Enhancing Trade Facilitation for Thailand Competitiveness : เปิดการค้าไทย มิติใหม่สู่สากล ในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 40 ที่จังหวัดอุบลราชธานี

“จุรินทร์” เปิดวิชั่น ในงานประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ห่วงเศรษฐกิจในปี 2566 มีปัจจัยเหนือการควบคุม ย้ำทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดัน ไทยพร้อมสนใจทุกกรอบความร่วมมือ ทั้ง RCEP ที่เป็นสมาชิกอยู่แล้ว กรอบอินโด-แปซิฟิก หนุนการค้า การส่งออก

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ Enhancing Trade Facilitation for Thailand Competitiveness : เปิดการค้าไทย มิติใหม่สู่สากล ในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 40 ว่า ต้องยอมรับความจริงว่าทั่วโลกและประเทศไทยยังเผชิญปัญหาและสิ่งท้าทาย อย่างปัญหาโควิด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาการกีดกันทางการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

โดยปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ โควิด-19 ยังต้องติดตามสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าจะอยู่กับเราต่อไป ความร้อนแรงของภูมิรัฐศาสตร์ จะร้อนแรงขึ้น อย่างรัสเซีย-ยุโรป เป็นผลมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เกิดวิกฤติอาหาร-พลังงาน สหรัฐฯ-จีน ในทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ ส่งผลให้เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ Enhancing Trade Facilitation for Thailand Competitiveness : เปิดการค้าไทย มิติใหม่สู่สากล ในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 40

ทั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดกรอบความร่วมมือที่แต่ละประเทศทำไว้ จีนมีวง RCEP ที่เป็นวงใหญ่ สหรัฐฯเคยใช้วง CPTPP ต่อมาถอนตัวและมาตั้งวงใหม่ คือ อินโด-แปซิฟิก ตอนคิดว่าวง CPTPP มีแนวโน้มที่สหรัฐฯจะทิ้ง และวงใหม่จะทวีความสำคัญขึ้น เป็นโจทก์ว่าต้องทำอย่างไร

สำหรับประเทศไทยยังอยู่ทั้ง 2 วง ทั้ง RCEP และวงของสหรัฐฯ อินโด-แปซิฟิก ที่ล่าสุดเราประกาศเข้าร่วม นอกจากนี้ ช่วงประชุมเอเปคได้มีโอกาสพบกับ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ(USTR) ได้เจรจาทวิภาคีเห็นความพยายามในการเร่งเครื่องอินโด-แปซิฟิก และพยายามหาพันธมิตรเพิ่มเติม กำหนดกฎกติกาเพิ่มเติม เพื่อให้เอกชนพอทราบว่าเป็นอย่างไร จะจับมือกับรัฐบาลเดินหน้าเข้าวงไหน เพราะบางกลุ่มยังอยากเดินหน้า CPTPP อยู่ อย่างน้อยในการประชุมเอเปค สะท้อนให้เห็นว่าเรามีพันธมิตรใหม่เพิ่มเติมที่น่าจะเป็นที่พึ่งได้ในอนาคตคือซาอุดิอาระเบีย เป็นตลาดใหญ่ทั้งการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวของประเทศไทย

และซาอุฯ เองได้มีการหารือเต็มคณะ ตนมีส่วนเข้าร่วมประชุมมีหลายมุมที่เห็นความกระตือรือร้นร่วมมือกันทั้ง 3 ด้าน ซาอุฯจะเป็นที่พึ่งสำคัญของเราอีกที่พึ่งหนึ่ง และไทยก็เป็นที่พึ่งสำคัญของซาอุฯอีกประเทศหนึ่งด้วย

ประเทศไทยคงต้องแสดงจุดยืนให้มีความชัดเจนว่าจะใช้ภูมิรัฐศาสตร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเราอย่างไร อย่างน้อยเราอยู่ในวงอาเซียนต้องจับมือกับอาเซียนให้แน่นหนาเข้มแข็ง และเรามีโอกาสอยู่ทั้ง 2 วง เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดกับประเทศของเราในทางเศรษฐกิจ

การกีดกันทางการค้าจะมีรูปแบบใหม่เข้ามามากขึ้นในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาษีและไม่ใช่ประเด็นเดิม ตนคิดว่าทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมรับมือ ในการประชุมเอเปคเรามีสัญญาณที่ดีหลายเรื่อง เช่น เห็นพ้องว่าควรใช้เวทีพหุภาคีเป็นเวทีขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าการลงทุนในกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อไม่ให้ประเทศเล็กเสียเปรียบประเทศใหญ่และเอเปคยอมรับการขับเคลื่อน BCG Model ยอมรับ Open. Connect. Balance.ของประเทศไทย และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอี ให้ความสำคัญกับสตรีรวมทั้งกลุ่มเปราะบางเข้ามามีโอกาสและบทบาททางเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวของกลุ่มสมาชิกเอเปคมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือการที่ที่ประชุมขับเคลื่อนให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เพราะเป็นเหรียญสองด้าน มีหลายเรื่องที่เป็นประเด็นผูกกับการค้าเศรษฐกิจและการลงทุน และขับเคลื่อนใน WTO ที่จะเป็นกติกาโลกต่อไปในอนาคต ซึ่งด้านบวกให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของโลกในอนาคต แต่อีกด้านอาจเป็นการนำเรื่องนี้เป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวในอนาคตได้ เราต้องเตรียมรับมือ เช่น การใช้มาตรการทางคาร์บอน เป็นต้น

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

สุดท้ายเป็นห่วงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2564 เศรษฐกิจโลก ขยายตัว 6% แต่ปีนี้แนวโน้มจะเหลือแค่ 3.2% และปีหน้าจะเหลือแค่ 2.7% โดย สะท้อนให้เห็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกลดลง อาจกระทบตัวเลขทั้งการลงทุน การค้า การส่งออกและการท่องเที่ยว ต้องเร่งจับมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนแก้ไขปัญหานี้ต่อไปในอนาคต

“ตนมองว่าอะไรที่เกินกำลังเราต้องเว้นไว้ก่อน เช่น การให้ 2 ประเทศหยุดทำสงครามซึ่งไม่สามารถทำได้ ต้องเร่งส่งออกตนมอบหมายให้ทุกหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ เร่งหารือกับภาคเอกชนจะช่วยให้เราฝ่าปัญหาและความท้าทายทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นนี้ไปได้ ตนพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน มีโอกาสร่วมเปิดตลาดการส่งออกให้ประสบความสำเร็จต่อไปเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างเงินให้กับประเทศของเราให้ประสบความสำเร็จต่อไปในอนาคต”