ลดค่าไฟ-น้ำมัน-วีซ่าฟรีของรัฐบาล หนุนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นในรอบ 14 เดือน

ธนวรรธน์ พลวิชัย
ธนวรรธน์ พลวิชัย

ม.หอการค้าฯ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ส.ค. 2566 อยู่ที่ระดับ 56.9 ดีขึ้นในรอบ 14 เดือน ผลจากได้รัฐบาลใหม่ มาตรการของภาครัฐ ลดค่าไฟ-น้ำมัน-วีซ่าฟรี ชี้วีซ่าฟรีคนจีนเที่ยวไทยเพิ่มเดือนละ 7-8 แสนคน คาด GDP ไทยปี 2566 โต 3% แน่

วันที่ 14 กันยายน 2566 นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม 2566 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index : CCI) ปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน จากระดับ 55.6 เป็น 56.9

อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหว คงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก

ซึ่งส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น จากระดับ 40.7 เป็น 41.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 62.8 มาอยู่ที่ระดับ 64.2 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ แสดงว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาปรับตัวดีขึ้น จากสถานการณ์การเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรัฐบาลใหม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วภายใต้นโยบายที่ได้หาเสียงไว้อีกครั้ง หลังจากเดือนที่แล้วที่ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน

เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่าจะจัดตั้งได้เร็ว เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่มีการแต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย และเห็นว่าการเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลสลายขั้วการเมืองต่าง ๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกัน โดยที่ความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะคลี่คลายลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทย ทำให้การส่งออกในช่วงนี้หดตัวลง และมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาค

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 51.6, 53.9 และ 65.2 ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ เมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนกรกฎาคม ที่อยู่ในระดับ 50.3, 52.7 และ 63.9 ตามลำดับ แสดงว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้หลังมีการจัดตั้งรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ ราคาพลังงานและค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง

ลดค่าไฟ-น้ำมันช่วยประชาชน

นายธนวรรธน์กล่าวถึงมาตรการของรัฐบาลในการปรับลดราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าว่า จะช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน และลดต้นทุนการขนส่งให้กับภาคธุรกิจ ทำให้เงินเฟ้อไม่สูง และไม่เป็นการเพิ่มแรงกดดันในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากกรอบเป้าหมายเงินเฟ้ออยู่ที่ 1-3% อัตราดอกเบี้ยจึงไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นไป นอกจากนี้ คาดว่าแบงก์ชาติจะยังคงดอกเบี้ย 0.25%

วีซ่าฟรี กระตุ้นคนจีนเที่ยวไทย

สำหรับมาตรการวีซ่าฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถานนั้น จะช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไทยคล่องตัวมากขึ้น เพราะตรงกับช่วงวันชาติของจีนในเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันหยุดยาว คาดว่าไตรมาส 4 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเดือนละ 7-8 แสนคน โดยมองว่าจะมีเข้ามาประมาณ 1 ล้านคนได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.3-0.5% เพราะมีเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจประมาณ 50,000 ล้านบาท

สำหรับนโยบายดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่นบาท ที่คาดว่าต้องใช้งบประมาณ 5 แสนล้านบาทนั้น คาดว่าจะทำให้เกิดการหมุนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ 2-3 รอบ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้เพิ่มขึ้น 2-3% และมีโอกาสที่จะทำให้ปี’67 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ที่ระดับ 4-5% และเศรษฐกิจไทยในปี 2566 โอกาสโตได้ 3% ในปีนี้ จากนโยบายรัฐ

จ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 รอบ ช่วยกระตุ้นในระบบเศรษฐกิจ

ส่วนการเตรียมปรับระบบการจ่ายเงินเดือนข้าราชการเป็น 2 รอบนั้น มองว่าช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินในระบบเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้น และจีดีพีจะได้แรงหนุนในด้านบวกเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องดูวินัยการใช้เงินของข้าราชการด้วย ซึ่งเชื่อว่ากรมบัญชีกลางจะเปิดให้มีการเลือกรับเงินเดือนตามความสมัครใจ ว่าต้องการรับรอบเดียว หรือแบ่งรับเป็น 2 รอบ พร้อมกันนี้ต้องดูการหารือระหว่างกระทรวงการคลังกับสถาบันการเงินด้วย ว่าหากมีการแบ่งจ่ายเงินเดือน 2 รอบแล้ว สถาบันการเงินจะสามารถตัดแบ่งภาระการจ่ายหนี้ออกเป็น 2 รอบได้ด้วยหรือไม่