
ราคาผลปาล์มทะลายกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาลดลงมาเหลือแค่ 3.60 บาท/กก. ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มออกมาเคลื่อนไหวขอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ โดย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้ประเมินผลผลิตปาล์มน้ำมันในปีนี้ (ณ วันที่ 26 มีนาคม 2567) มีพื้นที่เพาะปลูก 6.381 ล้านไร่ หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 132,959 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 2.13 แม้พื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันจะเพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตกลับลดลงเหลือ 18.121 ล้านตัน หรือลดลงจากปีที่แล้ว 146,471 ตัน หรือร้อยละ 0.80
ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ลดลงร้อยละ 0.80 เป็นผลกระทบโดยตรงจากสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 จนถึงต้นปี 2567 ต้นปาล์มไม่ได้รับน้ำฝนอย่างเพียงพอ ทำให้ทางใบบางส่วนพับ ต้นปาล์มไม่สมบูรณ์
การออกทะลายปาล์มที่จะเก็บในปี 2567 ลดลง ซึ่งส่งผลต่อ “น้ำหนักต่อทะลาย” ลดลงตามไปด้วย จากปกติที่ผลปาล์มทะลายจะออกสู่ตลาดมากที่สุด (Peak) ในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี เพียงแต่ปีนี้ราคาผลปาล์มทะลายกลับตกลงอย่างรวดเร็ว หรืออยู่ในระดับ 3 บาทกว่าเท่านั้น
จนนำมาซึ่งการเรียกประชุม คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เพื่อพิจารณาสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่พบการร้องเรียนจากเกษตรกรเข้ามาว่า โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม-ลานเทบางส่วน “กดราคา” รับซื้อผลปาล์มทะลายจากเกษตรกรโดยอ้างเปอร์เซ็นต์น้ำมันลดลง (อัตราสกัดน้ำมันปาล์ม)
ประกอบกับในช่วงเวลาเดียวกันนี้ (ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567) มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มจากทั้งหมด 130 ราย ประกาศหยุดการผลิตเป็นการชั่วคราวไปถึง 22 ราย ทั้ง ๆ ที่เป็นช่วง Peak ของผลปาล์มทะลายที่มีความจำเป็นจะต้องเร่งส่งผลปาล์มเข้าหีบน้ำมันในโรงงานสกัด
มีรายงานข่าวจากชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดพัทลุง เข้ามาว่า ได้รับการร้องเรียนจากสมาชิกมี ลานเท-โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม หยุดรับซื้อผลปาล์มโดยอ้างการปิดปรับปรุงโรงงานเป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันก็มีสมาชิกอีกหลาย ๆ สหกรณ์ร้องเรียนเข้ามาว่า ถูก “กดราคา” เปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มให้ต่ำลงจากความเป็นจริง
โดยกรณีนี้ชาวสวนปาล์มก็ยังถูกกดราคาอยู่ ส่งผลให้ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติแจ้งให้ สมาคมโรงสกัดน้ำมันปาล์ม ดำเนินการตามมติ 2 ประการ คือ
1) แจ้งข้อมูลการผลิตและจำหน่าย ทั้งปริมาณรับซื้อผลปาล์ม ปริมาณผลปาล์มน้ำมันที่ใช้ผลิต ปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ อัตราสกัดน้ำมันปาล์ม ราคารับซื้อผลปาล์ม ราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และข้อมูลแผนปิดซ่อมบำรุง โดยแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์ สำหรับกรณีมีความจำเป็นต้องปิดซ่อมบำรุงฉุกเฉินขอให้แจ้งทันทีเพื่อดำเนินการตรวจสอบ รวมทั้งการแจ้งข้อมูลปริมาณรถบรรทุกติดคิวด้วย
2) ให้ปรับราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันให้สูงขึ้น โดยรับซื้อในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัม (กก.) ละ 4.50 บาท
การ “บังคับ” โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มข้างต้น อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 หากพบว่า มีการรับซื้อผลปาล์มในราคาที่ไม่สอดคล้องกับคุณภาพและราคาน้ำมันปาล์มดิบ ก็จะบังคับใช้กฎหมาย ส่งผลให้ราคาผลปาล์มทะลาย “ดีดกลับ” ขึ้นมายืนอยู่ในราคาที่เหนือกว่า 4 บาท/กก.ขึ้นไปทันที
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาปริมาณการผลิต การใช้และสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือจากการแจ้งของผู้ประกอบการในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า น้ำมันปาล์มดิบมีปริมาณสต๊อกคงเหลือรวมกัน 245,304 ตัน ซึ่ง “ต่ำกว่า” ปริมาณสต๊อกขั้นต่ำที่ตกลงกันไว้ที่ตัวเลข 250,000 ตัน
ขณะที่สต๊อกน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ของโรงกลั่นน้ำมันปาล์มอยู่ที่ 24,796 ตัน และสต๊อกน้ำมันไบโอดีเซล B100 อยู่ที่ 48,328 ตัน เทียบกับช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ “เพิ่มขึ้น” เพียง 12,331 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 5.29 เท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่เป็นช่วง Peak ของผลปาล์มทะลาย แต่ปริมาณสต๊อกคงเหลือกลับเพิ่มขึ้นไม่มาก ส่วนสต๊อกน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ลดลง 1,777 ตัน และสต๊อก B100 เพิ่มขึ้น 5,914 ตัน
ตัวเลขสต๊อกน้ำมันปาล์มที่ไม่สอดคล้องกับปริมาณผลผลิตปาล์มทะลายที่ทยอยออกสู่ตลาดเป็นปริมาณมาก จึงเป็นที่มาของความตกต่ำของราคาปาล์มทะลายที่ลดลงไม่ถึง 4 บาท/กก.ในช่วงต้น แต่เมื่อรัฐบาลเข้ามา “ควบคุม” ปริมาณการรับซื้อเข้าออกของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ด้วยการกำหนดราคารับซื้อปาล์มไม่ให้ต่ำกว่า กก.ละ 4.50 บาท (ปัจจุบันโรงงานน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่ราคาเฉลี่ย 32.88 บาท) ราคาก็ทยอยปรับเพิ่มขึ้น
และดูเหมือนว่า ความต้องการให้ราคาผลปาล์มทะลายไม่ให้หยุดอยู่ที่ กก.ละ 4.50 บาท แต่ต้องการให้ราคาขยับขึ้นไปอยู่ที่ กก.ละ 5 บาทเป็นอย่างน้อย จะขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ
1) ปริมาณผลปาล์มทะลายที่ออกสู่ตลาดเริ่มลดลงจาก 1.780 ล้านตัน หรือคิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 320,000 ตัน ในเดือนเมษายน ได้ลดลงเหลือ 1.695 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 305,000 ตัน ในเดือนพฤษภาคม
2) ปริมาณสต๊อก B100 ในเดือนเมษายนอยู่ที่ 66.28 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 6.04 ล้านลิตร จากข้อเท็จจริงที่ว่า โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มคงไม่สามารถขึ้นราคารับซื้อผลปาล์มได้สูงกว่า 4.50 บาทอีกแล้ว จึงเหลือทางออกอีกทางเดียวคือ
การ “ขอความร่วมมือ” ให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 7 ซึ่งก็คือ บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ในประเทศ “รับซื้อ” น้ำมันไบโอดีเซล B100 ในราคาตามประกาศโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของกระทรวงพลังงาน จากราคาปัจจุบันที่ 35.54 บาท/ลิตร ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า ราคาตามประกาศดังกล่าวนั้นเป็นเพียงแค่ “ราคาอ้างอิง” ไม่ได้เป็นราคาที่ซื้อขายจริงในตลาด
โดยมี 2 บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่มีการใช้ B100 อย่าง บริษัท ปตท. และบริษัท บางจาก ออกมา “ตอบรับ” การรับซื้อ B100 ในราคาที่เพิ่มขึ้นแล้ว โดย บางจาก รับซื้ออยู่วันละ 1.3 ล้านลิตร ขณะที่ ปตท.รับซื้ออยู่วันละ 1.6 ล้านลิตร หรือรวมกันประมาณวันละ 3 ล้านลิตร เพื่อช่วยดันราคาผลปาล์มทะลายให้สูงขึ้นในระดับ 4.90-5 บาท/กก.
ทว่าการออกมาเพิ่มราคารับซื้อ B100 ในภาวะที่การผลิต B100 ของโรงงานไบโอดีเซลทั้ง 17 รายที่ตกอยู่ในภาวะ “ล้นเกิน” ความต้องการจากสต๊อกคงเหลือที่สูงถึง 66 ล้านลิตรนั้น
ในอีกด้านหนึ่งได้สะท้อนออกมาจากความกังวลของนักลงทุน โดยราคาหุ้น OR หรือ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก ณ วันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ร่วงลงมาเหลือ 16.80 บาท ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย ให้ความเห็นว่า ที่หุ้น OR ร่วงลงมาอยู่ในระดับนี้
1 ในเหตุผลที่นักลงทุนกังวลก็คือ การขอความร่วมมือให้ OR และบริษัทผู้ค้าน้ำมันอื่น ๆ อีก 7 ราย ออกมารับซื้อ B100 ในราคาที่สูงขึ้นประมาณ 3 บาท/ลิตร ซึ่งไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์ B100 ในตลาด
ดังนั้นการปรับขึ้นของราคาผลปาล์มทะลายในขณะนี้ จึงขึ้นอยู่กับมาตรการ “บังคับ” โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบให้รับซื้อผลปาล์มในราคา “ไม่ต่ำกว่า” 4.50 บาท และโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัดที่ช่วงราคา 32-33 บาท เป็นสำคัญ เพราะหากราคาปาล์มถูกปรับเพิ่มสูงขึ้นไปมากกว่านี้ก็จะเกิด “ความเสี่ยง” กับราคาน้ำมันปาล์มขวดที่ผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบโดยตรง
SCGJWD ลองรถ B100
บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยู โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD โดย นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กล่าวถึงพลังงานที่เป็น Green ในการขนส่งปัจจุบันก็คือ ไบโอดีเซล หรือ B100 ที่วันนี้ยังถูกใช้เพียงแค่ผสมกับน้ำมันดีเซลเท่านั้น แต่ SCGJWD ได้เข้าไปศึกษาเทคโนโลยีของสหรัฐ ที่มีการ “แปลง” เครื่องยนต์สันดาปของรถให้หันมาเติมน้ำมัน B100 ได้ 100% โดย B100 ดังกล่าวจะมาจากโรงงานที่ผลิตไบโอดีเซลจากพืช หรือกลั่นน้ำมันปาล์มออกมาแล้วเติมให้รถได้เลย
“เหมือนกับเรานำรถไปติดถังแก๊ส แต่อันนี้ก็แค่ติดเครื่องแปลง เมื่อเติม B100 ผ่านเครื่องแปลงจะกลั่นเกิดการสันดาปภายใน ทำให้เครื่องยนต์วิ่งได้ตามปกติ ส่วนไอเสียที่จะออกมาก็จะถูกเครื่องแปลงทำความสะอาดให้ออกสู่ภายนอกโดยไม่มีคาร์บอน”
ในปัจจุบันการขนส่งบางส่วนในสหรัฐใช้ระบบนี้แล้วถึงร้อยละ 50 เนื่องจากสหรัฐสามารถผลิต B100 เป็นจำนวนมาก แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถทำได้ มีแค่ B20 ที่ยังมีราคาแพงอยู่ ในอนาคตหากประเทศไทยมีการใช้เครื่องยนต์แปลงมาใช้ B100 โดยตรงได้ และราคา B100 ต้องใกล้เคียงกับราคาน้ำมันดีเซลก็จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
ทั้งนี้ เครื่องแปลง B100 เท่าที่ติดตามราคาจำหน่ายในสหรัฐ ตกประมาณ 200,000 บาท หากนำเข้ามาในประเทศจะต้องเสียภาษีเหมือนภาษีรถยนต์นำเข้า มีบวกเข้าไปเป็น 100% “ซึ่งตอนนี้ยังไม่คุ้ม” ทาง SCGJWD กำลังอยู่ในระหว่างการคำนวณตัวเลข ถ้าคำนวณผ่านแล้วมันคุ้มก็จะมีการนำเข้ามาในช่วงปลายปี 2567 เป็นการนำเข้ามาเพื่อทดลองวิ่ง แต่อาจจะต้องขอ B100 จาก ปตท.-บางจาก เนื่องจากยังไม่มีสถานีบริการน้ำมัน B100 ให้เติมโดยตรง
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าเครื่องแปลง B100 จากสหรัฐ จะต้องมีใบอนุญาต ถ้าสามารถนำเข้ามาดำเนินการได้จริงก็จะจัดเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ตรงกลางระหว่าง รถขนส่งเก่าที่ยังใช้ได้อยู่ กับรถขนส่งใหม่ที่เป็นรถไฟฟ้า (EV)