
บทสรุปผลการประมูลข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพิ่งปิดฉากลงไป 15,000 ตันสุดท้าย “ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2” องค์การคลังสินค้า (อคส.) ภายใต้การกำกับดูแลของ “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เคาะขายให้กับ 2 บริษัท คือ บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด ประมูล คลังกิตติชัย หลัง 2 ปริมาณ 11,656.6 ตัน ราคาที่ทรัพย์แสงทองฯเพิ่มให้จากเดิม 15.62 บาท/กก. มูลค่า 182,040,000 บาท เป็น 18.00 บาท/กก. มูลค่า 209,819,083 บาท
ส่วนคลังพูนผล ทาง บริษัท สหธัญ จำกัด ผู้ชนะการประมูล เพิ่มให้จาก 18.69 เป็น 18.71 ต่อ กก. ทำให้มูลค่าเดิม 62,734,711.23 เพิ่มเป็น 62,800,000 บาทรวมแล้วมูลค่าที่ขายได้ ทั้งคลังกิตติชัย และคลังพูลผล รวมกัน 272,619,083 บาท
เบื้องลึกดราม่าพุ่งเป้าล้มประมูล ?
แม้ว่าในช่วงแรกของการประมูลจะเกิดประเด็นดราม่า เรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติบริษัทที่ร่วมยื่นซองเสนอราคาที่ “พลาด” ไป จนทำให้มีบริษัทติดปัญหากับรัฐผ่านเข้ามาถึงรอบต่อรอง 3 ราย ด้วยระดับราคาสูงสุด 19 บาท/กก. ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐต้องต่อรองใหม่ “เสียโอกาส” ในการทำราคา นับว่าเป็นประเด็นที่ต้องไปไล่เบี้ยกันต่อไปว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงพลาดในจุดนี้ และเป็นผลจาก “กระบวนการล้มการประมูล” จริงหรือไม่
แต่ประเด็นที่น่าสนใจในตอนนี้คือ ผลงานชิ้นโบแดงของนายภูมิธรรมครั้งนี้ ได้ปลดล็อก “ข้อหาข้าวเน่าจากโครงการรับจำนำ” ลงไปได้ ฟอกย้อม “สีขาว” กลับคืนสู่ “พรรคเพื่อไทย” อีกครั้ง
ย้อนวันวานข้าวเสื่อม 10 ปี
ย้อนไปหลังจากการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี ปี 2554 “ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นได้จัดตั้งเจ้าหน้าที่ 100 ชุดออกตรวจสอบข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลจากโครงการรับจำนำข้าวในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ จำนวน 18 ล้านตัน
ผลตรวจสอบข้าวของคณะทำงานของ ม.ล.ปนัดดา ได้จัดเกรดข้าวถูกมาตรฐานเป็น เกรด P เกรด A เกรด B และ เกรด C เป็นข้าวที่ผิดมาตรฐานมาก เช่น มีข้าวหักปนอยู่สูง มีเมล็ดเสียเมล็ดเหลืองปนอยู่มาก ยุ่ยเป็นผุยผง เมล็ดลาย ขึ้นรา มีกลิ่นเหม็น มีฝุ่น ซึ่งไม่คุ้มหรือไม่อาจปรับปรุงเพื่อการบริโภคของคนได้
จากนั้นทยอยประมูลขาย โดยกำหนดว่าหากใครเสนอราคาสูงกว่า “ราคาเกณฑ์กลางขั้นต่ำ” ก็จะเป็นผู้ชนะการประมูลรอบนั้น ๆ
ซึ่งหลังจากที่ใช้เงื่อนไขการประมูลด้วยการแบ่งเกรดข้าวข้างต้นปรากฏ ในช่วงระหว่างปี 2558-2559 รัฐบาลขายข้าวในสต๊อกได้เพียง 8 ล้านตัน จากสต๊อกที่มีอยู่ทั้งหมด 18 ล้านตัน “ซึ่งช้ามาก” จึงมีคนเสนอ “สูตรใหม่” ให้กับ คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน นบข. เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2560
โดยให้มีการเปลี่ยนเงื่อนไขการประมูลข้าวใหม่ โดยแบ่งข้าวออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มคุณภาพดีสำหรับบริโภคทั่วไป (คนกิน) 3 ล้านตัน กลุ่มข้าวคุณภาพปานกลางอุตสาหกรรม ที่มิใช่เพื่อคนบริโภค (อาหารสัตว์) และกลุ่มที่เก็บเกิน 5 ปีที่ไม่สามารถบริโภคได้ให้ระบายเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ทั้งคน ทั้งสัตว์ (พลังงาน)
อาศัยเกณฑ์ว่า ถ้าในคลังใดมีข้าวเกรด C ตั้งแต่ 20% ขึ้นไปจากจำนวนข้าวที่ฝากเก็บทั้งหมดก็จะถูกตีว่า เป็น “ข้าวเกรดอาหารสัตว์” และที่สำคัญให้มีการประมูลแบบยกคลัง และ “ยกเลิก” การใช้ “ราคาเกณฑ์กลางขั้นต่ำ” ออกไป ซึ่งผล คือ ทำให้ราคาขายที่ขายได้เฉลี่ย “ต่ำลงกว่าปกติ”
เพื่อไทยสุดทน
กระทั่งในวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี เปิดแถลงข่าวกรณีรัฐบาลขายข้าวเพื่อการบริโภคคนกินในราคาอาหารสัตว์
โดยระบุว่า มีความผิดปกติ เสี่ยงให้เกิดความไม่โปร่งใสในการระบายข้าวลอตสุดท้าย คือ ข้าวเข้าอุตสาหกรรมที่มิใช่คนบริโภคอาหารสัตว์ 2.14 ล้านตัน ซึ่งมีบริษัทโรงสีเจริญผลมาเสนอซื้อข้าวจากโกดัง ประสิทธิ์ชัยอุบล 2011 ในราคา 11.25 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ในปี 2559 ปรากฏว่ารัฐไม่ยอมขาย แต่กลับขายให้ บจก.กาญจนาอาหารสัตว์ ในราคา 6.10 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2560 ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าการเสนอซื้อครั้งแรก
“รัฐขาดทุนเฉพาะโกดังนี้ก็ขาดทุนไป 72.30 ล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ยังมีอีก 18 โกดังที่พบปัญหาแบบเดียวกัน”
นายยุทธพงศ์ เรียกร้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ พร้อมทั้งจึงตั้งคำถามกลับไปว่า การขายข้าวคนบริโภคไปเป็นอาหารสัตว์ส่อไปในทางที่ไม่โปร่งใสหรือไม่
ขณะที่นายสมคิดยังกล่าวอีกว่า ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ประธานอนุกรรมการตรวจสอบข้าวคงเหลือของรัฐ พูดว่าข้าวเสีย ข้าวเน่ามาตั้งแต่ยึดอำนาจ ก็มานั่งคิดว่านี่เป็นการโยนความผิดให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่
ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเข้าไปขอข้อมูลข้าวจากโกดังต่าง ๆ แต่ทุกคนก็กังวลเพราะกลัวผลกระทบที่จะตามมา แต่ปัจจุบันเจ้าของโกดังกลับเดินมาคุย และพร้อมที่จะให้ข้อมูลเพราะเกิดความเสียหายขึ้นจริง ทำให้ข้าวในโกดังราคาตก จึงถามว่าใช้มาตรฐานใดตรวจสอบว่าข้าวใดเป็นข้าวที่ได้มาตรฐานหรือข้าวใดเป็นข้าวเน่า หรือนี่เป็นสิ่งที่ท่านระบุว่าเกิดความเสียหายกว่าแสนล้านบาท และให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนายทหารเข้าไปดำเนินการตรวจสอบคุณภาพข้าว โดยเปลี่ยนหลักเกณฑ์การตรวจสอบข้าวใหม่โดยอ้างมาตรา 44 ที่โรงสีข้าวโกดังประสิทธิ์ชัยอุบล 2011 ปรากฏว่าออกมาเป็นข้าวเกรดซี ทั้งที่ยังเป็นข้าวดี เรื่องนี้ทำในนามรัฐบาล แต่เกิดมีส่วนต่าง ทำให้มีความเสียหายแล้วให้โรงสีเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งกระบวนการแบบนี้ทำให้ราคาข้าวตกต่ำและเข้าไปตรวจสอบไม่ได้
บทพิสูจน์ฝีมือ
มาถึงการประมูลครั้งนี้ถูกถล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมีการตั้งข้อสังเกตถึงความพยายามการล้มประมูลโดยเฉพาะกรณีที่เอกชน 3 รายที่ยื่นเสนอราคาสูง แต่รอดมาจนถูก “ตีตก” ในรอบลึก ทั้งที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของประเทศ ทั้งมันสำปะหลังและข้าว ที่มีเจตนาเพียงจะเข้ามาช่วยร่วมประมูล ท่ามกลางกระแสต้านการประมูลข้าวเน่า ซึ่งเสี่ยงจะกระทบภาพลักษณ์ของบริษัท เพราะมีคนพยายามที่จะให้การประมูลนี้ต้อง “ล้ม”
นี่จึงเป็นเหตุผลให้ “ภูมิธรรม” สั่งตรวจแล้วตรวจซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อป้องกันความผิดพลาด
เหตุผลลึกๆ ที่ภารกิจครั้งนี้จะพลาดไม่ได้ เพราะนี่จะไม่ใช่เพียงแค่ปิดบัญชีรับจำนำ หรือทำตลาดข้าวเท่านั้น เพราะปริมาณข้าวที่เหลือมาประมูลแค่ 15,000 ตัน ถือว่า “น้อยนิด” หากเทียบกับการส่งออกของประเทศที่มากถึง 7-8 ล้านตัน/ปี
แต่ภารกิจนี้คือ “เครื่องมือพิสูจน์” ความบริสุทธิ์การทำงานรับจำนำข้าว ของ “เพื่อไทย” ที่อดทนรอจังหวะเอาคืนมาถึง 10 ปี
จนมาถึงผลประมูลที่สำเร็จด้วยราคาสูงถึง 18 บาท/กก. กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” ที่ตอกย้ำว่า “คุณภาพข้าว” โครงการรับจำนำ “ไม่ได้” เละเทะแบบที่เคยตรวจสอบและตีตราไว้ในยุคก่อน ที่เคยถล่มเพื่อไทยด้วยราคาขายเป็น “ข้าวเน่าอาหารสัตว์” กก.ละ 5-6 บาท เพื่อด้อยค่าป้ายความผิดเพื่อไทย
การปิดตำนานข้าว 10 ปี จึงเป็นบทพิสูจน์ “จินตนาการ” ที่ตั้งอยู่บน “อคติ” ทำให้ประเทศต้องเสียหายมหาศาล