นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) กล่าวในงานสัมมนา GAME CHANGER เกมใหม่ เปลี่ยนอนาคต Part 2 ในหัวข้อ EEC GAME CHANGER เศรษฐกิจการค้าการลงทุนไทย จัดโดย หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจต้องเผชิญกับภาวะความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงของประเทศเพื่อให้กับดักรายได้ปานกลาง ไทยจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาประเทศ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี Thailand 4.0 จึงประกาศเป็นนโยบายขึ้นมา จึงเกิด EEC และอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อให้เป็นตัวขับเคลื่อนและสร้างรายได้ให้ประเทศ
การเป็น Game Changer คือการเสนอปัจจัยไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น โดยจะมีทั้งความกลัวจากผลกระทบเมื่อพบกับความเปลี่ยนเเปลงรับเทคโนโลยี และความอยาก ที่ต้องการให้ได้สิ่งที่ดีขึ้น ไทยต้องการสมดุลใหม่ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความกลัวช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นพอสมควร GDP โตช้ากว่าเพื่อนบ้าน, ยิ่งมีน้อย…คนจนยิ่งได้น้อย ส่วนความอยาก ไทยอยากพ้นกับดักรายได้ปานกลาง อยากมีรายได้เยอะๆ แบ่งกันมากๆ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
ดังนั้นตามแผน 5 ปี EEC จะสะสมการลงทุนให้ไทยเองมีการลงทุนในสัดส่วนถึง 10% จากเดิมอยู่ที่เพียง 5% เท่านั้น ไทยต้องสะสมเทคโนโลยี และยังมีแผนด้านการศึกษาเพื่อเยาวชน สร้างงานใหม่ แผนด้านสิ่งแวดล้อม
“นายกฯ บอกว่าคนไทย 4.0 ต้องใช้เทคโนโลยีหารายได้ เศรษฐกิจไทยช่วงท่านอยู่โตขยายตัวกว่า 3% อาทิ การลงทุนภาคเอกชนก่อนเข้ามาอีอีซีติดลบ หลังมาตัวเลขเพิ่มขึ้นกว่า 4.4%”
ตอนทำอีอีซี ไม่ได้พูด 2 ประเด็น เพราะอยากให้คนไทยทำ อันไหนไม่พอค่อยให้ต่างชาติเข้ามา ต่อมาคือใช้เงินในประเทศไทย กระบวนการคือนำทรัพย์สินในประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป้าหมายคือทำให้เขามีรายได้สูง มีงาน เเละการเป็นอยู่ดีขึ้น คนอยู่กรุงเทพ อยู่อีอีซีจะไม่เเตกต่างกัน
โดยมีเเนวคิดพื้นฐาน 2 ข้อของอีอีซี 1 คือความร่วมมือ ทุกคนทำงานร่วมกัน ไม่เเบ่งรัฐ เอกชน เเละ 2 เราทำในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่ต่างประเทศต้องการให้เราทำ เช่นกรณีมาเลเซีย เขาจัดทำรถไฟ รัฐบาลจัดซื้อโบกี้ ซื้อรางให้เอกชน
โดยรู้ว่าต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาประเทศ ต้องการเอกชนไทยที่เเข็งเเกร่ง
สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน 5 โครงการ มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 650,000 รัฐลงทุนประมาณ 200,000 ล้านบาท รัฐได้รับผลตอบเเทน 450,000 ล้านบาท โดยตอนนี้มีกว่า 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งปีที่เเล้วมีคนมาขอลงทุนผ่าน BOI กว่า 6.7 เเสนล้านบาท อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงจะเข้า ครม. ในวันที่ 28 พ.ค. เเละจะเซ็นสัญญาในกลางเดือน มิ.ย. เช่นเดียวกับโครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ที่จะเข้า ครม. 28 พ.ค.นี้เช่นกัน คาดว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ทั้งหมดจะจบกระบวนการภายในมิถุนายนนี้
ทั้งนี้ต้องเเก้ไขปัญหาที่ไม่มีคนรู้จักเรา เเล้วเข้าไปอยู่ในไลน์ สรุปได้ว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถใช้อีอีซี สร้างฐานการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเปิดประตูเศรษฐกิจ เเละระดมการลงทุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงเพื่อสร้างกำลังผลักดันประเทศ
ถ้าคุณอยากสร้างงานใหม่ ทำรายได้ ต้องร่วมมือกับคนอื่น พวกเสียงเดียว ตายไปหลายรายเเล้ว โดยเวลาเราทำงานอีอีซี เราไม่ได้ทำคนเดียว เราทำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เเล้วพัฒนาร่วมกัน
“ในอีก 5 ปี ข้างหน้า งานใหม่ในอีอีซี จะเพิ่มขึ้นกว่า 475,674 อัตรา โดยมีอาชีวะศึกษา 253,114 อัตรา ปริญญาตรี 213,943 อัตรา ปริญญาโท เเละปริญญาเอก 8,617 อัตรา โดย 3 อันดับที่ต้องการ คือ ดิจิทัล โลจิสติกส์ เเละอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ”
โดยอีก 10 ปี เราจะเห็นเมืองใหม่ เป็นเมืองคู่เเฝดกับกรุงเทพ เชื่อมต่อกันด้วยรถไฟความเร็วสูง ถ้ามองว่าอีอีซีเป็น Game Changer กับไทย ก็ต่อเมื่อเรามองให้ถูกต้อง ทำให้เกิดการสะสม การลงทุน โดยในระยะยาวคาดว่าจะขยายอีอีซีไปในพื้นที่อื่นๆ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ กรุงเทพ พื้นที่อีอีซี เเละ 3 เมือง เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับโตเกียว นาริตะ เเละโซล กับอินชอนในเกาหลี เเละคล้ายกับนิวยอร์กที่จับคู่กับนิวเจอร์ซี่ในอเมริกา
นี่เป็นการทำให้กรุงเทพฯบางลง เเละน่าอยู่มากขึ้น ขณะเดียวกันเกิดการสร้างงานเเละธุรกิจใหม่ ที่เปลี่ยนเเปลงประเทศไทยมากขึ้น