โควิดทองหล่อ พ่นพิษ ยอดใช้จ่ายวูบ 5 หมื่นล้าน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคหัวทิ่ม

ตำรวจสน ทองหล่อเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด
FILE PHOTO : REUTERS/Athit Perawongmetha

หอการค้าไทย ชี้ การแพร่ระบาดเชื้อโควิด ย่านทองหล่อ ฉุดการบริโภคประชาชนวูบ 5 หมื่นล้านบาท หวังให้รัฐควบคุมได้ ยืนนโยบายเปิดประเทศ 1 ก.ค. ฟื้นเศรษฐกิจไตรมาส 3 หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.หัวทิ่ม

วันที่ 8 เมษายน 2564 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดึชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2564 โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,249 คน พบว่าอยู่ที่ระดับ 48.5 ปรับตัวลดลง

แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงย่ำแย่จากวิกฤต COVID-19 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง

“สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมี.ค.ลดลง เป็นผลจากความกังวลต่อสถานการณ์โควิดรอบใหม่ รวมทั้งปัญหาการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ทั้งในสภา และนอกสภา”

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 42.5 จาก 43.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 45.3 จาก 46.1 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 57.7 จาก 58.7 ส่วนการสำรวจการใช้จ่ายของผู้บริโภค

เช่น การซื้อรถคันใหม่ อยู่ที่ 46.2 การซื้อบ้านหลังใหม่ อยู่ที่ 29.9 การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว อยู่ที่ 40.8 การลงทุนธุรกิจ อยู่ที่ 19.7 โดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำซึ่งสะท้อนว่าประชาชนยังกังวลการจ่ายใช้จากปัญหาโควิดที่เกิดขึ้น

สำหรับปัจจัยลบที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประกาศให้งดกิจกรรมสาดน้า ประแป้ง และปาร์ตี้โฟมทุกพื้นที่ในช่วงสงกรานต์ ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และบริการต่างๆ, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ปี 2564 สู่ระดับ 3.0 %

จากที่คาดว่าจะขยายตัว 3.2% และความกังวลเกี่ยวจากเสถียรภาพทางการเมืองและสถานการณ์ทางด้านการเมือง ตลอดจนการชุมนุมทางการเมือง ที่อาจส่งผลประเทศไทยจะต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเหมือนอดีตที่ผ่านมา

ปัจจัยบวก ได้แก่ ภาครัฐดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบด้วยโครงการเราชนะ โครงการรารักกัน โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศ, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.50% ต่อปี และราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวในระดับที่ดี โดยเฉพาะข้าวยางพารา และมันสำปะหลัง ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น กำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นสายพันธ์อังกฤษ ซึ่งมีการแพร่เชื้อที่รวดเร็ว และกระจายเป็นวงกว้างไปยังหลากหลายอาชีพ แม้การสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจะยังไม่ได้รวมการแพร่ระบาดล่าสุด

จากการติดตามมองว่าจากการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้การจับจ่าย การบริโภคในภาพรวมของผู้บริโภคจะลดลง 5-10% หรือมูลค่าใช้จ่ายที่หายไปประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาท เนื่องจากประชาชนกังวลมากขึ้น ชะลอการใช้จ่าย โดยคาดหวังว่าจากการแพร่ระบาดครั้งนี้ จะสามารถควบคุมได้ภายใน 1-2 เดือนจากนี้

ทั้งนี้ จากปัญหาที่เกิดขึ้นเชื่อว่ากระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นโดย หอการค้าไทยยังไม่ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจยังคงตัวเลขทั้งปีอยู่ที่ 2.8% หรืออยู่ในกรอบ 2.5-3% และหากรัฐควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีเชื่อว่าเศรษฐกิจก็จะค่อย ๆ ฟื้น และมาตรการของภาครัฐโดยเฉพาะคนละครึ่งเฟส 3 หากเดินหน้าได้เชื่อว่าจะมีวงเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจได้ 3-5 หมื่นล้านบาท

และจากปัญหาการแพร่ระบาดครั้งนี้จะประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจยังเร็วไป อีกทั้งไม่ได้มีการประกาศล็อคดาวน์ยังเดินทางได้ แม้บางกิจการยังกำหนดเปิด-ปิด ยกเลิกกิจการสงกรานต์ แต่การใช้จ่ายของประชาชนก็ยังมีแม้จะระวัง

“หากมีการล็อกดาวน์ก็อาจจะมีการประเมินเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง ส่วนความเสียหายทางเศรษฐกิจสำหรับพื้นที่สีแดง 5 จังหวัด มองว่าการใช้จ่าย การบริโภค เงินสะพัดจะหายไปประมาณ 3-5 พันล้านบาท ใน 7 วัน ช่วงสงกรานต์”

อย่างไรก็ดี คาดหวังว่ารัฐบาลจะควบคุมดูแลได้ พร้อมทั้งออกมาตรกรกระตุ้นเศรษฐกิจเชื่อว่าไตรมาส 3 ดีขึ้น และการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา 1 กรกฎาคม 2564 เที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต หากเดินหน้าไปได้และคาดว่ามีนักท่องเที่ยวจะเข้ามา 1 แสนคน จะก่อให้เกิดกระตุ้นเศรษฐกิจ การจับใช้ดีขึ้น และแม้มีการแพร่ระบาด นักท่องเที่ยวก็ยังคงมั่นใจพร้อมที่จะเดินทางมา และการเลือกตั้ง อบต. ในเดือนมิถุนายน ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีด้วย