อียู ให้โควตา 28 สินค้าไทย ส่งออกหลัง Brexit มีผล มิ.ย. นี้

เอกอัครราชทูตไทยลงนามความตกลงจัดสรรโควตาภาษี (TRQ) สินค้า 28 รายการกับสหภาพยุโรปหลัง Brexit คาดมีผลบังคับใช้ มิ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นางพิมพ์ชนก พิตต์ฟีลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามความตกลงระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหภาพยุโรปภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ที่เป็นผลการเจรจารองรับการออกจากสหภาพฯ ของสหราชอาณาจักร (หรือ Brexit)  ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ร่วมกับนาย José Fernando Costa Pereira เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรโปรตุเกสประจำคณะกรรมาธิการการเมืองและความมั่นคง สำนักงานประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายสหภาพยุโรป และมีนายเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูตหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

นาง พิมพ์ชนก กล่าวว่า ภายหลังจากการถอนตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป หรือ “Brexit” ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ส่งผลให้สหภาพยุโรปต้องแก้ไขตารางข้อผูกพันภาษีภายใต้ WTO รวมถึงตารางปริมาณโควตาของสินค้าโควตาภาษีที่ไทยได้รับจากสหภาพยุโรป 27 ประเทศ (โดยไม่รวมอังกฤษ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและประมง

“กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการเจรจากับทั้งสองประเทศพร้อมกันมาตั้งแต่ปี 2562 โดยเป้าหมายสำคัญคือ ให้สิทธิประโยชน์โดยรวมของผู้ส่งออกไทยไม่น้อยไปกว่าที่เคยได้รับก่อนหน้าที่จะมีการถอนตัวของอังกฤษ”

โดย ปริมาณโควตาที่ไทยได้รับจากสหภาพฯ 27 ประเทศ รวมกับปริมาณโควตาที่ไทยได้รับจากอังกฤษ จะยังคงเท่ากับปริมาณโควตาของสินค้าโควตาภาษีเดิมที่ไทยเคยได้รับจากสหภาพยุโรป 28 ประเทศ ซึ่งการเจราสำเร็จลงเมื่อเดือนกันยายน 2563 ไทยกับอังกฤษได้ลงนามย่อในหนังสือแลกเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 เพื่อให้ทันมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่อังกฤษออกจากสหภาพฯ อย่างเป็นทางการ

ส่วนผลการเจรจากับสหภาพฯ เป็นเอกสารที่ลงนามในครั้งนี้ สหภาพฯ จะต้องไปดำเนินกระบวนการภายในก่อนที่จะมีหนังสือแจ้งไทยเพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับต่อไป คาดว่าจะเป็นประมาณเดือนมิถุนายนนี้

“การลงนามความตกลง TRQ กับสหภาพยุโรปในวันนี้ เป็นการสรุปการแบ่งโควต้าภาษีสินค้าเกษตรและประมงของไทยที่ส่งออกไปอียูและอังกฤษ โดยไทยจะได้โควต้าเท่าเดิมในภาพรวม แต่ผู้ส่งออกจะต้องเช็คว่าโควต้าไปอียูเป็นจำนวนเท่าไหร่ ไปอังกฤษเป็นจำนวนเท่าไหร่ เช่น โควตาไก่บางรายการอาจแบ่งไปให้อังกฤษมากกว่าอียู ส่วนโควตาข้าวบางรายการอาจจะอยู่ที่อียูมากกว่าอังกฤษ เป็นต้น ส่วนอัตราภาษีจะยังเป็นอัตราเดิม ซึ่งเมื่อความตกลงมีผลใช้บังคับแล้วจะช่วยให้การส่งออกสินค้าไทยหลายรายการที่สำคัญไปทั้งสองประเทศเป็นไปได้อย่างราบรื่น”

สำหรับสินค้าในรายการที่ลงนามวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าข้าว สัตว์ปีก และสินค้าประมง โดยไทยยังคงรักษาสิทธิประโยชน์ที่เคยได้รับก่อนที่จะมี Brexit ได้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณโควตาเดิมที่สหภาพยุโรปจัดสรรให้ไทยเป็นการเฉพาะ (Country Specific Quota) อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก (เป็ดและไก่) และปลา ซึ่งผู้นำเข้าสินค้าจากไทยภายใต้ปริมาณโควตานี้จะเสียภาษีในอัตราที่ต่ำ ส่วนรายการอื่น ๆ จะมีที่เป็นโควตารวมให้ทุกประเทศ (global quota) ซึ่งไทยต้องไปยื่นขอโควตาแข่งกับประเทศอื่นต่อไป

ทั้งนี้ ผลการเจรจากับทั้งสหภาพฯ และอังกฤษในกรอบของ WTO นั้น เป็นการเจรจาเฉพาะการแบ่งปริมาณอย่างเดียว ไม่รวมการลดภาษี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นายจุรินทร์ ลักษณวิศิฏฐ์ มีนโยบายให้มีการเจรจาจัดทำความตกลง FTA ระหว่างไทย-สหภาพฯ และไทย-อังกฤษในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งคงจะมีการเจรจาทั้งขอเพิ่มโควตาและลดภาษีสินค้าเกษตรและประมงต่อไป เพื่อให้เกษตรกรและผู้ส่งออกไทยได้รับประโยชน์จาก FTA ให้มากที่สุด


ในช่วงปี 2560 – 2563 การค้าระหว่างไทยและสหภาพยุโรปมีมูลค่าเฉลี่ย 1,400,178 ล้านบาทต่อปี โดยไทยนำเข้าจากสหภาพยุโรปเฉลี่ย 656,084 ล้านบาทต่อปี และส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเฉลี่ย 744,094 ล้านบาทต่อปี โดยเป็นการส่งออกสินค้าโควตาภาษีมูลค่าเฉลี่ย 50,453 ล้านบาทต่อปี สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังสหภาพยุโรป อาทิ สินค้าผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก (ไก่และเป็ด) ข้าว มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ และปลาปรุงแต่ง เป็นต้น