สุพัฒนพงษ์ กางแผนอีก 3 เดือนอุ้มชาวบ้านฝ่าวิกฤตพลังงานใช้งบ 4.5 หมื่นล้าน

สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์

สุพัฒนพงษ์ เปิดตัวเลขเม็ดเงินรัฐใช้อุ้มพลังงานรวม 2 แสนล้าน กางแผนอีก 3 เดือนอุ้มชาวบ้านฝ่าวิกฤตพลังงานใช้งบ 4.5 หมื่นล้าน ปลัดกุลิศเปิดสูตรอุดหนุน รัฐ-ประชาชนคนละครึ่ง รวม 8 บาท ประเดิมใช้ ‘เบนซิน’ ก่อน 1 พ.ค. 2565

วันที่ 24 มีนาคม 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่ารัฐยังคงยืนยันที่จะดูแลไม่ให้ราคาพลังงานในประเทศสูงกว่าหรือแพงเท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็มีความจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นอยู่บ้าง โดยรัฐยังคงดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางต่อเนื่อง

โดยในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ กระทรวงคาดว่าจะมีการใช้มาตรการดูแลราคาพลังงานเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพและความเดือดร้อนของประชาชน 43,000-45,000 ล้านบาท

ซึ่งหากบวกตัวเลขดังกล่าวกับเงินที่ภาครัฐอุดหนุนราคาพลังงานไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันที่ 164,228 ล้านบาท จึงคาดว่าจะใช้งบประมาณช่วยเหลือด้านพลังงานรวมประมาณ 200,000 ล้านบาท

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงได้ปรับรูปแบบการดูแลด้านพลังงาน เพราะ ณ วันที่ 20 มี.ค. 2565 กองทุนมีสถานะติดลบ 32,831 ล้านบาท จากที่ผ่านมารัฐได้ใช้กลไกเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการอุดหนุนราคาพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง แต่จะให้ฐานะกองทุนจะติดลบเกินกว่านี้ไม่ได้ เพราะไม่มีสภาพคล่อง ต้องปล่อยให้มีการขึ้นราคาพลังงานบางส่วน แต่ไม่ได้ปล่อยลอยตัวทั้งหมด จะลอยตัวแบบมีการบริหารจัดการ

กุลิศ สมบัติศิริ

โดยรัฐจะช่วยอุดหนุนในรูปแบบคนละครึ่งกับประชาชน เช่น ถ้าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกอยู่ที่ 115-135 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ราคาขายปลีกเบนซินในประเทศอยู่ที่ 38-40 บาท/ลิตร กองทุนจะอุดหนุน 4 บาท ประชาชนออกอีก 4 บาท รวมประชาชนจ่าย 34 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 รวมถึงราคาขายปลีกดีเซลที่รัฐอุดหนุนไว้ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร หลังจากสิ้นเดือน เม.ย.นี้ ก็จะปรับขึ้นแบบรัฐครึ่งประชาชนครึ่งเช่นกัน จากปัจจุบันกองทุนอุดหนุนดีเซลอยู่ 8 บาท/ลิตร

นอกจากนี้ จะยกเลิกอุดหนุนราคาดีเซล เกรดพรีเมี่ยมที่ใช้ในรถหรูประมาณ 1.4 ล้านลิตร/วัน โดยจะปล่อยให้จำหน่ายตามราคาจริง เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปชดเชยกลุ่มอื่นที่มีความจำเป็น

แต่ทั้งนี้กระทรวงพลังงานยังคงให้ส่วนลดผู้ใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 5 บาท/ลิตร เป็นเงิน 250 บาท/เดือน นาน 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค. 2565) เฉพาะกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก 157,000 คน เพื่อไม่ให้วินมอเตอร์ไซค์มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และไม่ให้ปรับขึ้นค่าโดยสารกับประชาชน

ในส่วนของก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จะปรับขึ้น 1 บาท/กิโลกรัม (กก.) จากเดิมที่ตรึงราคาไว้ 318 บาท/ถัง 15 กก. เป็นเดือน เม.ย. อยู่ที่ 333 บาท/ถัง 15 กก. เดือน พ.ค. อยู่ที่ 348 บาท/ถัง 15 กก. เดือน มิ.ย. อยู่ที่ 363 บาท/ถัง 15 กก. โดยรัฐจะช่วยอุดหนุนราคาเพิ่มเติม 55 บาท จาก 45 บาท เป็น 100 บาท/ถัง 15 กก./3 เดือน เฉพาะกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 36 ล้านคน ใช้งบกลางกว่า 200 ล้านบาท

สำหรับค่าไฟฟ้านั้น ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ใช้เงินในส่วนต่าง ๆ มาตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) จนหมดแล้ว จึงจะทยอยปรับขึ้นค่าเอฟทีต่อเนื่องในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2565 ให้เรียกเก็บอยู่ที่ 24.77 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บกับประชาชนอยู่ที่ 4 บาท/หน่วย จากอัตราค่าไฟฟ้าจริงหากรัฐไม่มีเงินมาอุดหนุนเลยจะอยู่ที่ 5.07 บาท/หน่วย

แต่รัฐบาลยังดูแลผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน ให้จ่าย 3.7 บาท/หน่วย คาดประชาชนได้รับความช่วยเหลือ 20 ล้านครัวเรือน

พร้อมกันนี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ขยายเวลาช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2565 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 5,500 ราย ตามนโยบายรัฐบาล เป็นเงินกว่า 15.6 ล้านบาท รวมทั้งยังขยายเวลาคงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ที่ 15.59 บาท/กก. และเอ็นจีวีสำหรับรถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 13.62 บาท/กก. อีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 15 มิ.ย. 2565