บลจ.วรรณ ครองแชมป์กองทุนสินทรัพย์ทางเลือก ดันเป้าปีนี้ AUM แตะ 1.7 แสนล้าน

พจน์ หะริณสุต บลจ.วรรณ
พจน์ หะริณสุต

บลจ.วรรณ ชูกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกครองแชมป์อันดับ 1 เตรียมรุกตลาดภาคเอกชน ขยายธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คาดปีนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 แสนล้านบาท จากที่ 1.62 แสนล้านบาทปีที่ผ่านมา คาดหุ้นไทย 1,525 จุด รอภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณ

นายพจน์  หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีที่ผ่าน บลจ.วรรณ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ณ ธันวาคม 2566 เติบโตขึ้น อยู่ที่ 1.62 แสนล้านบาท โดยมีสัดส่วนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจากธุรกิจกองทุนรวมอยู่ประมาณ 40% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพประมาณ 20% และกองทุนส่วนบุคคลประมาณ 40% ซึ่งบริษัทยังคงคำแนะนำให้จัดพอร์ตการลงทุนโดยกระจายสินทรัพย์ในการลงทุนในทุก ๆ ประเภท (Asset Allocation) โดยเน้นวางกลยุทธ์ด้วยสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) สร้างสมดุลให้พอร์ต ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมีขึ้นเป็นระยะ ๆ ตลอดปีที่ผ่านมา

“ตลอด 4 ปี บริษัทเลือกวางกลยุทธ์การลงทุนโดยคงแนะนำให้กระจายเงินลงทุนบางส่วนในสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ทางการเงินต่ำผ่าน กองทุนเปิด วรรณ ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย โดยที่ผ่านมา เราเปิดเสนอขายไปทั้งหมด 6 กองทุน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเรามียอดขายรวมทั้งหมดประมาณหมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมยอดขายจากกองทุนส่วนบุคคล ทำให้ บลจ.วรรณครองแชมป์ IPO กองทุนสินทรัพย์ทางเลือกที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม ส่วนความสำเร็จของปีนี้

เราสามารถบริหารกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ได้ก่อนเป้าหมายผ่านกองทุน ONE-GO1 โดยใช้ระยะเวลาเพียง 10 วันทำการ นับว่าเป็นการสร้างสถิติใหม่ของการบริหารกองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.วรรณ ประเภททริกเกอร์ฟันด์ ที่เข้าเงื่อนเลิกโครงการก่อนกำหนดการ 5 เดือนจากที่ตั้งเป้าไว้” นายพจน์กล่าว

ขณะที่ในปี’67 คาดว่าจะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็น 1.7 แสนล้านบาท โดยธุรกิจกองทุนรวมจะเพิ่มขึ้นอีก 5 พันล้านบาท จาก 6 หมื่นล้านบาทในปีก่อน และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพิ่มอีก 5,000 ล้านบาทจาก 4 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.วรรณตั้งเป้าธุรกิจกองทุนรวมจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในช่วง 1-2 ปีนี้

นอกจากนี้ บลจ.วรรณมีแผนออกกองทุนใหม่ 6 กอง โดยได้ออกกองทุน Life Sattlement ที่เน้นลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิตในตลาดรองของประเทศสหรัฐ 2 กองที่รองรับการ Rollover ของกองทุนเดิมที่ครบกำหนดแล้วซึ่งมีผลตอบแทนสูง 8%ต่อปี

อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่งการพิจารณานำเสนอกองทุนทางเลือกประเภทใหม่ โดยเน้นธีมผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ทางการเงินต่ำหรือกองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั่วไป สำหรับการเสนอขายกองทุนในสินทรัพย์หลัก อาทิ ตราสารทุน ตราสารหนี้ ปีนี้บริษัทมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อปัจจัยเศรษฐกิจโลก

โดยปัจจัยกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจมีความผ่อนคลาย และกลายเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น และอัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งช่วยลดแรงกดดันการใช้นโยบายการเงินอย่างแข็งกร้าวได้อย่างดี

“ที่ผ่านมาเราได้ปรับพอร์ตการลงทุนให้ทันกับสภาวะตลาดอยู่เสมอ ซึ่งกองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทปีที่ผ่านจนถึงปัจจุบันนี้ อาทิ ONE-METAVERSE ONE-GECOM ONE-UGG-RA ONE-UJE-RA และ ONE-GLOBFIN-RA มีผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับสภาวะตลาด โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50% 29% 27% 24% และ 22% ตามลำดับ ซึ่งนโยบายการลงทุนของกองทุนเหล่านี้เราปรับพอร์ตและคัดสรรการลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ หุ้นเติบโตสูง และการเงินทั่วโลก รวมทั้งการจับจังหวะลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น” นายพจน์กล่าว

บลจ.วรรณ

นายพจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากธุรกิจกองทุนรวมแล้วบริษัทยังคงรักษาระดับการเติบโตทั้งลูกค้านิติบุคคลและสถาบันองค์กรขนาดใหญ่รวมถึงตัวแทนผู้สนับสนุนการขาย (Selling Agents) ทั้งกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะของกองทุนส่วนบุคคล ยังได้รับความไว้วางใจอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนสำคัญในการหนุนมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทให้มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมขนาด AUM อยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นกว่าล้านบาท

ปัจจุบันเติบโตขึ้นแตะระดับกว่า 6 หมื่นล้านบาท ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพปีนี้ บริษัทมีแผนรุกขยายฐานลูกค้าในบริษัทภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยนำร่องกองทุนต่างประเทศเป็นหลัก จากความเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ ที่เริ่มส่งสัญญาณในเชิงบวก โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอขายแก่สมาชิกกองทุนและลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลได้

“ที่ผ่านมาบริษัทจัดกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยลูกค้าที่เป็น Selling Agents ปีนี้ บริษัทได้นำเสนอผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้ารายย่อยผ่านกองทุนเปิด วรรณ อัลตร้า อินคัม พลัส ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ONE-ULTRAPLUS-RA) เพื่อเจาะกลุ่มประชาชนที่ต้องการลงทุนและต้องการสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองด้านประกันชีวิตและสุขภาพไปพร้อมกัน ฐานลูกค้ากลุ่ม online platform หรือ กลุ่มอาชีพอิสระ (freelance) ซึ่งกองทุน ONE-ULTRAPLUS-RA จะสามารถตอบโจทย์การลงทุนในธีม Asset Allocation ในทุก ๆ สินทรัพย์ได้ดี นอกจากนี้ เรายังคงมอบสิทธิประโยชน์ทางการตลาดต่อเนื่องกับระบบแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ต่าง ๆ เช่น ShopeePay เป็นต้น” นายพจน์กล่าว

ด้านนายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.วรรณ เปิดเผยถึง ภาพการลงทุนว่า สำหรับปี 2567 ถ้ามองตามข้อมูลเศรษฐกิจพื้นฐาน เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวแต่ก็ยังมีอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 3% ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา (3.1% ปี 2566) โดยตัวแปรสำคัญขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของภาคการผลิตทั่วโลก ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นผ่านดัชนี global manufacturing PMI ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (กลับมาอยู่ในเกณฑ์ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 16 เดือน) และมีความคาดหวังในเชิงบวกต่อการขยายตัวของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI Boom)

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ยังคงให้น้ำหนักการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งบริษัทมองว่า เป็นอีกตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการลงทุน โดยประเมินว่าวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐ จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงแรก ซึ่งเชื่อว่า Fed น่าจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงท้ายของไตรมาสที่ 2 และอาจปรับลดอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในไตรมาสที่ 3 และ 4 ตามลำดับ หากเป็นเช่นนั้นจริง มองว่าผลกระทบต่อการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักและตลาดเกิดใหม่อาจมีไม่มากนัก ขณะที่ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ สงครามการสู้รบ และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเงินเฟ้อจากฝั่งอุปทานที่ยังคงต้องติดตามตลอดปีนี้เช่นกัน

สำหรับตลาดหุ้นไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทย แต่อาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่าช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว โดยระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม นอกจากความหวังว่าภาคเศรษฐกิจต่างประเทศจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อไป โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ถ้าสามารถฟื้นตัวได้จะส่งผลบวกเป็นวงกว้างมายังภาคการท่องเที่ยว การลงทุน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทย

อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลลบในช่วงต้นแต่จะดีในช่วงครึ่งปีหลังคือ ความล่าช้าของรัฐบาลในการจัดทำร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ทำให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากภาครัฐยังช้าเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว ทั้งนี้ มองว่าในท้ายที่สุดภาครัฐบาลจะกลับมาเบิกจ่ายได้ตามปกติราวไตรมาสที่ 2 รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนและปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยในระยะยาวโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และไม่สามารถปรับตัวตอบสนองการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความต้องการสินค้าในตลาดการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทานโลกที่เปลี่ยนไป จึงไม่แปลกใจที่เห็นนักลงทุนต่างชาติเทขายตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจึงต้องเน้นการคัดเลือกเป็นรายกลุ่มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ให้เหมาะสมกับวัฏจักรเศรษฐกิจในแต่ละช่วง มากกว่าการลงทุนที่ตัวดัชนีตลาด เราประเมินดัชนีเป้าหมายของปีนี้ไว้ที่ 1,525 จุด อิง Fwd PER ที่ 16.24 เท่า บนสมมติฐาน EPS ที่ 93.87 บาทต่อหุ้นตลาดหุ้นต่างประเทศ ยังแนะนำคัดเลือกกลุ่มการลงทุนโดยเน้น กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป เป็นต้น