เผ่าภูมิ สั่งตั้งบอร์ด ปรับพอร์ตหุ้นไร้ประสิทธิภาพกว่า 3 หมื่นล้าน

เผ่าภูมิ โรจนสกุล
เผ่าภูมิ โรจนสกุล

เผ่าภูมิสั่งตั้งคณะกรรมการทบทวนความคุ้มค่าหลักทรัพย์รัฐ-หุ้นกลุ่มยึดทรัพย์และนิติเหตุ จำนวน 100 หุ้น มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท หวังจัดพอร์ตลงทุนรัฐให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด

วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการมอบนโยบายแก่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) โดยมีแนวคิดให้ทบทวนหลักทรัพย์ของรัฐที่กระทรวงการคลังถือครอง และเร่งทำแนวทางการบริหารหลักทรัพย์ของรัฐ และแผนการลงทุนที่สร้างผลกำไรให้แก่รัฐ ว่าปัจจุบันหลักทรัพย์ที่ภาครัฐถือแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก

ได้แก่ 1.หุ้นที่ถือผ่านกองทุนรวมวายุภักษ์ 2.หุ้นรัฐวิสาหกิจ 3.หุ้นที่ได้จากหลักทรัพย์ที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ หรือนิติเหตุ ซึ่งมีจำนวน 100 หุ้น มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยหลังจากได้พิจารณาหุ้นที่อยู่ในกลุ่มนี้พบว่าบางตัวเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีประสิทธิภาพ

“หุ้นต่าง ๆ เหล่านี้บางตัวเป็นหุ้นที่ขาดประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาทางกระทรวงการคลังก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร เพราะก็มีกรอบข้อจำกัดว่ารัฐบาลจะขายได้ต่อเมื่อเป็นหุ้นที่ไม่สร้างประโยชน์ ไม่อยู่ในแผนการพัฒนา และต้องมีการดูเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของรัฐ” รมช.คลังกล่าว

นายเผ่าภูมิกล่าวต่อว่า การตั้งคณะกรรมการชุดนี้ จัดทำเพื่อศึกษาถึงความคุ้มค่าของหุ้นที่กระทรวงการคลังถือ เพื่อบริหารให้มีประโยชน์สูงสุดกับภาครัฐประเมินความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ รวมถึงมองแนวโน้มของหลักทรัพย์ดังกล่าวในอนาคตด้วย นอกเหนือจากมาตรฐานทางบัญชี ดูกำไร-ขาดทุน และกรอบกฎหมาย

Advertisment

“คณะกรรมการชุดนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีการศึกษาด้านความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ ส่วนจะซื้อจะขายยังไม่ตัดสินใจตอนนี้ ต้องดูความคุ้มค่าในการถือครองหุ้นก่อน” นายเผ่าภูมิกล่าว

ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ สคร.พบว่า ณ ไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2567 มีหลักทรัพย์ของรัฐที่ถือครองโดยกระทรวงการคลังทั้งสิ้น 109 หลักทรัพย์ (ไม่รวมหุ้นในรัฐวิสาหกิจมูลค่ารวม 376,997.38 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ของรัฐ 108 หลักทรัพย์ (ไม่รวมมูลค่ากองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง) อยู่ที่ 35,304 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง อยู่ที่ 341,693 ล้านบาท (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2566)