
บทความโดย “เกศิณี เพ็ชรแสนงาม” นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
วันที่ 4 มิถุนายน 2567 ยูนิตลิงก์ (Unit Link) นับว่าเป็นนวัตกรรมประกันชีวิตที่ใช้เป็นเครื่องมือในการโอนย้ายความเสี่ยงและวางแผนเกษียณที่น่าสนใจช่องทางหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า
1. ช่วยให้สบายใจเรื่องค่ารักษาพยาบาลและโรคร้ายแรงระยะยาวได้ (Long Term Health Care)
2. เบี้ยประกันคงที่ ทำให้จัดสรรเงินได้ง่ายขึ้น
3. สามารถหยุดพักชำระเบี้ยได้ แต่ยังคงมีความคุ้มครอง ทั้งชีวิต ค่ารักษาพยาบาล และโรคร้ายแรงได้อย่างต่อเนื่อง
4. อนาคตค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้นตามเงินเฟ้อ แต่เราสามารถกำหนดวงเงินค่ารักษาพยาบาลได้ตั้งแต่วันแรกที่ทำประกัน
5. มูลค่ารับซื้อหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นในอนาคตสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนเงินเกษียณอีก 1 ก้อนได้
ตัวอย่าง
คุณ B อายุ 34 ปี รายได้ 100,000 บาทต่อเดือน ต้องการวางแผน Long Term Health Care โดยต้องการจ่ายเบี้ยประกันแบบเบี้ยคงที่ถึงอายุ 60 ปี และยังต้องการค่ารักษาพยาบาลถึงอายุ 85 ปี เพื่อง่ายต่อการวางแผนการเงิน ค่าใช้จ่ายในส่วนเบี้ยประกัน และต้องการใช้พอร์ตการลงทุนตามคำแนะนำจากผู้จัดการกองทุน จะได้มีเวลาใช้ชีวิตกับการท่องเที่ยว
ดังนั้น คุณ B จึงตัดสินใจทำประกันยูนิตลิงก์ ที่มีทุนประกัน 1 ล้านบาท และมีค่ารักษาพยาบาลและโรคร้ายแรงตั้งแต่อายุ 34 ปี จนถึงอายุ 85 ปี ด้วยการจ่ายเบี้ยปีละ 100,000 บาท ตั้งแต่อายุ 34-60 ปี รวมระยะเวลา 27 ปี รวมจ่ายเบี้ยทั้งสิ้น 2,700,000 บาท ซึ่งคุณ B จะสบายใจทุกครั้งที่ต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะว่าค่ารักษาพยาบาลได้ถูกโอนย้ายความเสี่ยงไปให้บริษัทประกันในวงเงินต่อปี 5 ล้านบาท และยังมีเงินเกษียณในช่วงอายุ 61-85 ปี ประมาณ 1-2 ล้านบาท ที่อัตราผลตอบแทน 5% ต่อปี
ทว่า หากแต่ถ้าผลตอบแทนไม่เป็นไปอย่างที่คิด เช่น ได้ผลตอบแทนเพียง 2% ต่อปี คุณ B ก็พร้อมที่จะกลับมาจ่ายเบี้ยประกันที่ 100,000 บาท ต่อได้ในบางปี เพราะเบี้ยประกัน 100,000 บาทนี้ ก็ไม่ได้มากเกินไป และเชื่อว่าค่ารักษาพยาบาลแพงกว่าอยู่แล้ว (ราคารักษาแพงกว่าราคาป้องกันเสมอ) โดยได้รับคำแนะนำจากตัวแทนประกันชีวิต ในเรื่องของการศึกษาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนผ่านกองทุนรวม
สิ่งที่ควรทำความเข้าใจก่อนทำประกันยูนิตลิงก์ เพื่อให้สามารถจัดการแผนการเงินให้เป็นไปตามเป้าหมาย
1. Unit Link เป็นประกันชีวิตควบการลงทุน คือ ประกันชีวิต+การลงทุน ไม่ใช่การลงทุนแถมประกัน ไม่ใช่ประกันแถมการลงทุน ดังนั้น คุณสมบัติของเบี้ยประกัน ประกอบด้วย
1.1 ส่วนที่เป็นประกันชีวิต มีค่าใช้จ่าย COI, ค่าบริหารจัดการ ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน, ส่วนค่าดำเนินการ คิดเมื่อมีการชำระเบี้ยประกัน
1.2 ส่วนที่นำไปลงทุน เงินส่วนลงทุนจะถูกนำไปลงทุน ในตราสารทางการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน ซึ่งแบ่งเป็น
พอร์ตแนะนำ (Recommend Port) โดยมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ดูแลจัดสรรพอร์ตและปรับพอร์ตให้ ปัจจุบันบางบริษัทประกันจะมีพอร์ตการลงทุนแนะนำ แบ่งเป็น 3 พอร์ต คือ
- การลงทุนความเสี่ยงต่ำ
- การลงทุนความเสี่ยงปานกลาง
- การลงทุนความเสี่ยงสูง
โดยผู้เอาประกันต้องตอบ RPQ (Risk Profile Questionnaire) (แบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุน) เพื่อเลือกลงทุนในพอร์ตตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ก่อนเสมอ
ลูกค้าจัดพอร์ตเอง (DIY Port) มีบริการ 3 อย่าง Asset Allocation, Auto Rebalance, DCA เป็นต้น โดยฟรีหรือคิดค่าธรรมเนียม ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทจะมีกรอบเรื่องกองทุนที่บริษัทเลือกไว้ และให้ลูกค้าเลือก ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละบริษัท โดยจะระบุกองทุนไว้ในเอกสาร ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะมีสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการลงทุนของลูกค้า
2. ความต่างของประกันควบการลงทุน Unit Link กับประกันชีวิตทั่วไป ตรงที่ Unit Link มีความคาดหวังว่าจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากตราสารการเงินที่เสี่ยงขึ้น เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุน รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่การันตีผลตอบแทน (อาจจะกำไรหรือขาดทุน)
ซึ่งต่างจากประกันชีวิตทั่วไปที่เน้นการลงทุนที่ไม่เสี่ยง คือ พันธบัตรรัฐบาล และมีการการันตีผลตอบแทนโดยระบุ มูลค่าเงินสดที่ตรวจสอบได้ ในตารางมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์
3. ในบางแบบของ Unit Link จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก สำหรับประกันชีวิต เรียกว่า “เบี้ยประกันหลัก” และส่วนที่ 2 เรียก “สัญญาเพิ่มเติม”
3.1 ในส่วนแรกของเบี้ยประกัน เรียกว่า “สัญญาหลัก” ที่ดูแลทุนประกันชีวิต เบี้ยประกันเริ่มต้นคงที่ และสามารถเพิ่ม-ลดทุนประกันได้ มากน้อยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละบริษัท ดังนั้น ด้วยเบี้ยประกันจำนวนน้อย มีโอกาสเลือกทุนประกันได้สูงกว่าแบบประกันทั่วไป
3.2 ส่วนที่ 2 “สัญญาเพิ่มเติม” มี 2 แบบ แบบที่ไม่มีส่วนร่วมในการลงทุน (PPR) และแบบที่มีส่วนร่วมในการลงทุน (UDR)
แบบที่ไม่มีส่วนร่วมในการลงทุน (PPR) (Protection Payment Rider) ทั้งนี้สัญญาเพิ่มเติมเป็นสัญญาประกันภัยที่มีระยะเวลาเอาประกันภัย 1 ปี ซึ่งอาจต่ออายุได้ เบี้ยปรับเพิ่มขึ้นตามอายุ ข้อดีอายุน้อย ความเสี่ยงน้อย เบี้ยต่ำ ข้อจำกัดอายุมากขึ้นความเสี่ยงมากขึ้น เบี้ยสูงขึ้น เบี้ย PPR ในช่วงเริ่มต้นราคาถูกกว่า UDR แต่เมื่ออายุมากขึ้น เบี้ยราคาสูงกว่า UDR
แบบสัญญาเพิ่มเติมที่มีส่วนร่วมในการลงทุนผ่านกองทุนรวม (UDR) (Unit Deducting Rider) เป็นสัญญาเพิ่มเติมแบบชำระค่าการประกันภัย โดยการขายคืนหน่วยลงทุนบางส่วนมาจ่ายค่าใช้จ่ายซึ่งแนบได้กับกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน Unit Link เท่านั้น
การันตีการรับประกันต่อเนื่องตลอดสัญญา กรณีที่กรมธรรม์มีมูลค่าเพียงพอในการหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เบี้ย UDR ในช่วงระยะเริ่มต้นเบี้ยประกันจะสูงกว่า เบี้ยแบบ PPR (สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติม 2 ชนิดดังกล่าว ในประกันควบการลงทุนได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์)
จุดเด่นสำคัญ
ความยืดหยุ่นของการกำหนดทุนประกันชีวิต ที่ในบางแบบของกรมธรรม์ควบการลงทุนยูนิตลิงก์ สามารถกำหนดทุนประกันชีวิตให้มากขึ้นหรือลดลงได้ตามต้องการ และสามารถกำหนดระยะเวลาในการชำระเบี้ยประกัน อาทิ ชำระเบี้ยประกันถึงอายุ 60 ปี และให้เกิดความคุ้มครองต่อเนื่องหลังหยุดชำระเบี้ยประกันไปจนถึงอายุ 99 ปี (ทั้งนี้หากมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนมีมากพอที่จะดูแลค่าใช้จ่ายด้านการประกันและค่าธรรมเนียมการดูแลกรมธรรม์)
ผู้เอาประกันวางแผนการจ่ายเบี้ยประกันล่วงหน้าได้ เพราะรู้ค่าใช้จ่ายจากเบี้ยประกันคงที่ ตั้งแต่เริ่มต้นทำประกัน
และวางแผนหยุดพักชำระเบี้ยได้ในช่วงหลังเกษียณอายุ เนื่องจากแบบประกันสุขภาพ UDR มีการนำเงินลงทุนไว้ล่วงหน้า จึงทำให้เงินเติบโตมากพอที่จะดูแลค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเบี้ยประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงในอนาคต โดยผู้ประกันหยุดพักชำระเบี้ยช่วงหลังเกษียณได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์แต่ละบริษัท)
ข้อจำกัดสำคัญ
ด้วยหลักเกณฑ์ของแบบประกันควบการลงทุน ในด้านการลงทุนซึ่งไม่มีการการันตีผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้นการหยุดพักชำระเบี้ย อาจส่งผลให้กรมธรรม์มีการปิดกรมธรรม์อัตโนมัติ และส่งผลให้สัญญาเพิ่มเติมหยุดความคุ้มครองได้ ซึ่งผู้เอาประกันจะได้รับจดหมายเตือนเรื่อง “มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน” ที่เหลือน้อย อาจทำให้กรมธรรม์ขาดความคุ้มครอง เพื่อให้ผู้เอาประกันชำระเบี้ยต่อ
เบี้ยประกันค่อนข้างสูงกว่าแบบประกันทั่วไป ในช่วงเริ่มต้นทำประกัน เนื่องจากเบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติมชนิดที่มีค่ารักษาพยาบาลและโรคร้ายแรงแบบมีส่วนร่วมในการลงทุน (UDR) มีการเก็บเงินเพื่อลงทุนล่วงหน้า ทำให้เบี้ยประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง UDR เบี้ยราคาสูงถึงแม้เบี้ยจะคงที่และไม่เพิ่มตามช่วงอายุเหมือนสัญญาสุขภาพและโรคร้ายแรง PPR
ดังนั้น ผู้เอาประกันต้องคำนวณเงินค่าใช้จ่ายส่วนเบี้ยประกันให้มีความเหมาะสมกับตนเอง ว่ามีความสามารถในการจ่ายเบี้ยอย่างต่อเนื่องได้หรือไม่
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการตัดสินใจซื้อประกัน คือ เลือกประกันที่เหมาะสมกับผู้เอาประกันแต่ละคน โดยนอกจากดูที่ผลประโยชน์แล้ว ยังจำเป็นต้องพิจารณาจากความสามารถในการชำระเบี้ยอย่างต่อเนื่องได้ด้วย เพราะแบบประกันที่ดีที่สุด คือ แบบประกันที่เราสามารถจ่ายเบี้ยได้ครบสัญญา จะทำให้เราได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการทำประกัน