
บล.เอเซีย พลัส ส่องภาพรวม “สินเชื่อ-เงินฝาก” 8 แบงก์ เดือน ต.ค.67 พบ BBL สินเชื่อขยายตัวสูงสุดในกลุ่ม +1.6% คาดมาจากรายใหญ่และต่างประเทศ ด้าน KTB เงินฝากโต 5.7% มาจาก CASA ตามช่วงเบิกจ่ายงบประมาณ สวนทาง KBANK เงินฝากลง 3.7% จากสิ้นเดือนก่อนฐานสูงจากลูกค้ารายใหญ่นำเงินมาฝากช่วงสิ้นงวด พร้อมชี้แนวโน้มกำไรแบงก์ไตรมาส 4/67 อ่อนตัวจากไตรมาส 3/67
นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า สินเชื่อสุทธิกลุ่มธนาคาร 8 แห่ง ประกอบด้วย BAY, BBL, KBANK, KKP, KTB, SCB, TTB, TISCO ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2567 ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า (MOM) โดย -2.5% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และ -2.3% นับจากต้นปี (YTD) หากแยกตามประเภทลูกค้า ยังเห็นการชำระคืนหนี้ของลูกค้ารายใหญ่ BAY และ TTB ด้านสินเชื่อรายย่อยกลุ่มเช่าซื้อและบ้านชะลอตัวตามนโยบายสินเชื่อระมัดระวัง เพื่อป้องกันปัญหา NPL ในขณะที่สินเชื่อ High yield ที่ให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยงยังคงขยายตัว ทั้ง AUTOX (จำนำทะเบียนรถ) ของ SCB และ Credit card & P Loan ของ TTB
ในเชิงการเติบโตรายธนาคาร พบว่า BBL ขยายตัวสูงสุดในกลุ่มราว 1.6% MOM คาดมาจากรายใหญ่และต่างประเทศ ตามด้วย KBANK และ TISCO ราว 0.3% MOM (TISCO มาจากรายใหญ่กลุ่มโรงไฟฟ้า) ส่วน KTB ทรงตัว ในทางตรงข้าม BAY สินเชื่อหดตัวมากสุดในกลุ่ม 2.4% MOM, KKP ติดลบ 0.7% MOM จากเช่าซื้อ, TTB อ่อนตัวราว 0.5% และ SCB ลดลง 0.3% MOM
ขณะที่ฝั่งเงินฝากเติบโต 1.5% MOM +1.4% YOY, +1.2% YTD หลัก ๆ มาจากเงินฝากกระแสรายวัน+ออมทรัพย์ (CASA) ของ KTB +5.7% MOM ตามช่วงเบิกจ่ายงบประมาณที่ในอดีตจะเห็นเงินฝากเร่งตัวในช่วงเดือน ต.ค. ส่วน BBL เพิ่ม 2.1% MOM เป็นไปในทิศทางเดียวกับสินเชื่อ
ในทางกลับกัน KBANK เงินฝากลง 3.7% MOM เพราะสิ้นเดือนก่อนมีฐาน สูง จากลูกค้ารายใหญ่นำเงินมาฝากช่วงสิ้นงวด โดยรวมเงินฝากที่เร่งตัวเร็วกว่า สินเชื่อ ส่งผลให้สินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ลงมาที่ 84.9% จาก 86.3% ณ สิ้นเดือนก่อน ภาพรวมสินเชื่อ YTD เมื่อเทียบกับสมมติฐานทั้งปีที่คาดไว้เติบโต 1% YOY ดูยังท้าทาย แต่ลุ้นการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนความต้องการใช้สินเชื่อโค้งท้ายปี โดย Sensitivity analysis บ่งชี้ว่าทุก 1% ของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น (ลดลง) จะส่งผลต่อกำไรสุทธิราว 1% จึงมองว่าดาวน์ไซด์จากฝั่งสินเชื่อไม่ได้มีนัยต่อประมาณการกำไร
โดยแนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มงวดไตรมาส 4/67 อ่อนตัวจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) +YOY จาก OPEX ของธนาคารใหญ่เพิ่มตามฤดูกาลและ NIM ถูกกดดันจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ด้าน Credit cost คาดทรงตัว QOQ ตามภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้หากเทียบ YOY ประเมินว่า KTB, KKP มีอัตราการเติบโตของสูงกว่ากลุ่มจากฐานกำไรต่ำงวดไตรมาส 4/66
คงประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มปี 2567 – 2568 เพิ่มเฉลี่ย 3% YOY อยู่ที่ 2.3 – 2.4 แสนล้านบาท คาดการลงทุนภาครัฐในปีหน้า จะเป็นปัจจัยกระตุ้นความต้องการใช้สินเชื่อให้เติบโต โดยเฉพาะสินเชื่อรายใหญ่และรัฐบาล หนุนต่อ BBL, KTB
ส่วนกลุ่มสินเชื่อรายย่อยยังค่อนข้างท้าทาย แม้เห็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ High yield แต่ขนาดเทียบพอร์ตสินเชื่อรวมไม่ได้ใหญ่ จึงไม่สามารถชดเชยได้กับสินเชื่อบ้าน และ รถยนต์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะอยู่ภายใต้นโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง ท่ามกลางการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่เท่าเทียมกันของเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ประมาณการปี 2568 อยู่บนสมมติฐานการลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ภายใต้บอนด์ยีลด์สหรัฐผันผวนทางขึ้น รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่กำลังเตรียมประกาศอย่างเป็นทางการ อาจทำให้ กนง. มีความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยนโยบายน้อยลง ช่วยลดแรงกดดันต่อธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อดอกเบี้ยลอยตัว (Floating rate) สูงอย่าง BBL, KTB และ KBANK
“กลุ่มยังคงมีจุดเด่นที่อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend yield) ราว 5 – 8% ค่าเฉลี่ย SET ราว 3% โดยกลุ่มธนาคารที่ให้ Dividend yield สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มจะมีความผันผวนของราคาต่ำ ได้เปรียบยามตลาดผันผวน ชอบ TISCO, SCB จาก Dividend yield ราว 8% ต่อปี ขณะที่กลุ่มธนาคาร ซึ่งวัฎจักรดอกเบี้ยมีผลกระทบสูงและคาดว่าปีนี้ระดับ Dividend yield ยังอยู่ที่ราว 4 – 5% ต่อปี เลือก BBL, KTB มากกว่า KBANK เพราะสัดส่วนสินเชื่อ SME น้อยกว่า และทิศทางเศรษฐกิจไทยปีหน้าถูกขับเคลื่อนด้วยการลงทุนภาครัฐ น่าจะดีต่อพอร์ตสินเชื่อรายใหญ่และรัฐบาลของทั้ง BBL และ KTB