TCAP กำไรปี’67 โตเล็กน้อย 7.02 พันล้าน จ่ายปันผลเพิ่มอีก 2.05 บาท

บมจ.ทุนธนชาต หรือ TCAP เผยผลการดำเนินงานปี 2567 มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม จำนวน 7,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีก่อน เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัท จำนวน 6,646 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวปันผลเพิ่มอีก 2.05 บาท รวมทั้งปีจ่าย 3.30 บาท

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปี 2567 ที่มีการอัตราการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ และเป็นการเติบโตแบบไม่ทั่วถึง กลุ่มธนชาตจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องมาจากปีก่อน ส่งผลให้บริษัท และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในปี 2567 จำนวน 7,027 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท จำนวน 6,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีก่อน (Y-Y) ที่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท จำนวน 6,603 ล้านบาท

ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ TCAP ลงทุนในบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้นถึง 19% Y-Y ตามผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากผ่านช่วง COVID-19 มา อย่างไรก็ตาม รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามปริมาณสินเชื่อเช่าซื้อของราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ที่ปรับลดลง ตามนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นและการชะลอตัวของตลาดรถบรรทุก

และการผิดนัดชำระหนี้ลูกค้าบัญชีกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์และการปิดสถานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ในภาพรวมแล้ว ผลการดำเนินงานของปี 2567 ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม

สำหรับปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญความกดดันจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน อาทิ นโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงและยังคงเติบโตแบบไม่ทั่วถึง และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของ TCAP

ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตแบบไม่ทั่วถึงดังกล่าว การดำเนินธุรกิจของกลุ่มธนชาตในปี 2568 จึงยังคงเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพต่อไป

ADVERTISMENT

“ถึงแม้ว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัท และบริษัทย่อยจะมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นเล็กน้อย แต่ผลการดำเนินงานในอนาคตยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คณะกรรมการบริษัท จึงได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.20 บาท และคณะกรรมการบริษัท ยังได้มีมติให้เสนอต่อผู้ถือหุ้นเพื่อจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 2.05 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายสำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 3.30 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 3.20 บาท”