นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันที่ 27 ม.ค.63 ว่า ตลาดปรับตัวลงแรงกว่าที่ตลาดคาด ปิดตลาดที่ 1,524.15 จุด ลดลง -45.40 จุด หรือ -2.89% มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 69,174.18 ล้านบาท ซึ่งหลุดต่ำกว่าระดับ 1,550 จุด จากความกังวลของไวรัสโคโรนาที่สถานการณ์ยังค่อนข้างน่าเป็นห่วง ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างค่าเงินเยนและทองคำ ซึ่งคาดว่าตลาดน่าจะยังอยู่กับสถานการณ์แบบนี้อีกสักระยะหนึ่ง ต้องติดตามว่าการระบาดว่าจะรุนแรงหรือลดลงมากน้อยแค่ไหน
โดยกลุ่มหุ้นที่ถูกทุบลงมาหลักๆ จะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว กลุ่มขนส่ง สายการบิน สนามบิน และโรงแรม รวมทั้งพลังงานและปิโตรเคมี ที่ปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
“จริงๆ กลุ่มหุ้นลงเกือบทั้งหมด อาจจะมีบางกลุ่มที่ลงน้อยกว่าคนอื่น อย่างหุ้นโรงพยาบาล หุ้นโรงเรียน หุ้นโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่ Defensive และไม่ได้เกี่ยวกับโรคระบาด โดยตลาดหุ้นไทยลบแรงกว่าตลาดอื่นๆ ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดลบไปแค่ 2% ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวันศุกร์ลบไปพอสมควร แต่ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สก็ยังลบอยู่อีก 350 จุด ซึ่งยังมีความเสี่ยง คือตราบใดที่ตัวเลขติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังคงพุ่งขึ้นเรื่อยๆ และพบผู้ติดเชื้อในประเทศอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นจะยิ่งหนัก โอกาสที่ตลาดจะฟื้นยังคงยาก”
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ (28 ม.ค.63) มองอาจจะปรับตัวลงต่อได้อีก ถ้าสถานการณ์ยังค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยมองกรอบเคลื่อนไหวบริเวณแนวรับสำคัญที่ 1,500 จุด และแนวต้านที่ 1,540 จุด โดยก่อนหน้านี้กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ขายทำกำไรระยะสั้นตอนระดับ 1,600 จุด ถ้าขายไปแล้วถือเงินสด รอดูแถวๆ บริเวณ 1,500 จุด ว่าสถานการณืจะเป็นอย่างไร มีแรงซื้อกลับมาน้อยแค่ไหน ซึ่งอาจจะพอเล่นรีบาวด์ระยะสั้นๆ ได้ โดยเน้นถือหุ้นที่แข็งแรงกว่าตลาดอย่างหุ้นโรงพยาบาล หุ้นโรงเรียน หุ้นโรงไฟฟ้า และหุ้นสื่อสาร
อย่างไรก็ตามแม้ว่าวันนี้ นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถปลุกดความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้เท่าที่ควร
