โบรกชู 8 หุ้นเด่น รับอานิสงส์ “บิ๊กแพ็กเกจ” อุ้มเศรษฐกิจ

โบรกฯ ส่องหุ้นเด่นรับอานิสงส์รัฐอัด “บิ๊กแพ็กเกจ” 10% ของจีดีพี เยียวยาเศรษฐกิจก๊อก 3 “บล.หยวนต้า” ชี้กลุ่ม “ค้าปลีก-อาหาร-สื่อสาร-รับเหมา” น่าสนใจลงทุน เตือนเลี่ยงกลุ่ม “แบงก์” หลังล่าสุด 3 แบงก์ใหญ่ “BBL-KBANK-SCB” เจอ “ฟิทช์ฯ” หั่นเรตติ้ง ฟาก “บล.ยูโอบีฯ” แนะเลี่ยงกลุ่มการเงินยกแผง ลดถือหุ้นเหลือ 30% กำเงินสด 70% ระบุให้รอกลางปีจังหวะลงทุนอาจดีขึ้น บล.ทิสโก้มอง Q2 ดัชนี 1,100-1,220 จุด

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจไทยชุดที่ 3 ที่คาดจะมีวงเงินราว 10% ของ GDP ถือว่าเป็นการใช้เงินเยียวยาผลกระทบใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ

โดยแหล่งเงินจะมาจากการปรับโยกงบประมาณรายจ่ายประจำปี พร้อมด้วยการกู้ยืมของกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อให้ปล่อยซอฟต์โลน รวมถึงดูแลตราสารหนี้ภาคเอกชนได้ ซึ่งคาดว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ ธปท. น่าจะเป็นเครื่องมือหลักที่จะเสริมสภาพคล่องให้เศรษฐกิจได้โดยตรง โดยจะทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบเชิงบวกทางอ้อม เนื่องจากผลกระทบโดยตรงจากมาตรการ จะอยู่ในตลาดตราสารหนี้เป็นหลัก ซึ่งหากตลาดตราสารหนี้มีแนวโน้มดีขึ้น เชื่อว่าจะเป็นอานิสงส์เชิงบวกแก่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นต่อไป ส่วนของเม็ดเงินที่กระจายไปสู่มือประชาชน น่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก เกษตรอาหาร และสื่อสารเป็นอันดับแรก

ส่วนโครงการลงทุนเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในแต่ละท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ก็น่าจะส่งผลดีแก่ภาคการลงทุนและจะส่งผลเชิงบวกแก่หุ้นในกลุ่มรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง

“เชื่อว่า ในภาพรวมด้วยเม็ดเงิน 10% ต่อ GDP จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ระบบเศรษฐกิจได้”

ทั้งนี้ บล.หยวนต้า แนะนำการลงทุนหุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากแพ็กเกจเศรษฐกิจก๊อก 3 โดยแนะนำซื้อ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ที่ราคา 81.00 บาท บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ที่ 50.00 บาท บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่ 34.00 บาท บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ที่ 14.80 บาท บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่ 234.00 บาท และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ที่ 55.00 บาท

ส่วนกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุน ซึ่งจะเป็นหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง แนะนำ บมจ.ช.การช่าง (CK) ที่ 29.50 บาท และ บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) ที่ 27.00 บาท

ส่วนกลุ่มที่แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน คือ กลุ่มธนาคาร หลังล่าสุด บริษัทจัดอันดับเครดิต ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับเครดิตของหุ้นในกลุ่มธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มาอยู่ที่ “BBB” ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากประเด็นคุณภาพสินเชื่อ (NPL) เป็นหลัก แม้ระยะสั้นอาจเห็นการฟื้นตัวของราคาหุ้นตอบรับประเด็นการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผล แต่ในระยะยาวยังเผชิญความเสี่ยงสินเชื่อเติบโตชะลอ การเพิ่มขึ้นของ NPL และมาตรการฐานบัญชีใหม่ (TFRS9)

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขนาดของมาตรการดูแลเศรษฐกิจระยะที่ 3 ที่มีมูลค่าราว 10% ของ GDP เป็นระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะทิศทางของ ธปท.ที่จะเริ่มปล่อยกู้กับธุรกิจโดยตรง แทนการให้วงเงินธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ จะช่วยให้ธุรกิจที่ประสบปัญหาจริง ๆ มีโอกาสเข้าถึงสภาพคล่องมากขึ้น

อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดหุ้นคงไม่ได้รับผลบวกมากนัก เนื่องจากทิศทางผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการระบาดของไวรัสโควิด-19 ค่อนข้างหนักในช่วงไตรมาส 1-2

“เดิมถ้าไม่ทำอะไรเลย ลูกหนี้บางส่วนอาจกลายเป็น NPL ซึ่งจะทำให้แบงก์ต้องตั้งสำรองสูงมาก แต่พอมีมาตรการมาช่วย ก็ทำให้ไม่เป็น NPL แต่เมื่อความเสี่ยงถูกถ่ายโอนไปยัง ธปท.น่าจะส่งผลให้ยอดการกู้ในธนาคารพาณิชย์ลดลง และจะส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยบางส่วนหายไป อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของแบงก์จะน้อยกว่าการต้องตั้งสำรองในระดับที่ค่อนข้างสูง”

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหลีกเลี่ยงลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงินทั้งหมด รวมถึงเช่าซื้อและลีสซิ่ง แม้จะเป็นทางเลือกช่วงเศรษฐกิจไม่ดีช่วยให้สภาพคล่องแก่ประชาชนผ่านการปล่อยสินเชื่อประเภทต่าง ๆ เช่น สินเชื่อบุคคล บัตรเครดิต และจำนำทะเบียนรถ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เศรษฐกิจหยุดชะงัก ประชาชนจะไม่มีรายได้ และจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังคุณภาพสินเชื่อ

“ตอนนี้แนะนำให้พยายามเพิ่มการถือเงินสดในสัดส่วนประมาณ 70% และหุ้น 30% โดยประเมินสถานการณ์การลงทุนอีกครั้ง หลังจากผ่านช่วงประกาศงบฯไตรมาส 1/2563 ไปแล้ว ซึ่งจังหวะการลงทุนดี ๆ อาจต้องรอถึงช่วงกลางปี เพราะน่าจะได้เห็นความชัดเจนเรื่องสถานการณ์โควิดและผลจากมาตรการกระตุ้นของรัฐแล้ว” นายกิจพณกล่าว

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 2/2563 นี้ ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทย 1,100-1,220 จุด ซึ่งพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ยังมีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจจะใช้เวลานานกว่าจะคลี่คลาย และอาจจะต้องมีการปรับประมาณการ GDP และกำไร บจ.ลงอีก