เกมธุรกิจใหม่ “เอไอเอ” ตั้ง บลจ. บริหารพอร์ต สู้ศึกดอกเบี้ยต่ำ

บริษัทประกัน AIA

การกระโดดเข้าสู่ธุรกิจกองทุนของค่าย “เอไอเอ” นับว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดไม่น้อย โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอไอเอ (AIAIMT) กินส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อันดับ 3 ในทันทีด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ขนาด 8.47 แสนล้านบาท และด้วยเครือข่ายกลุ่มบริษัทเอไอเอทั่วโลกที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริหารการลงทุนของ บลจ.เอไอเอได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้ผู้เล่นรายใหม่นี้น่าจับตาอย่างมากเลยทีเดียว

จุดแข็งตัวแทนขายกว่าหมื่นคน

โดย “สุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน เอไอเอ ประเทศไทย ที่ก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เอไอเอ กล่าวในงานเปิดตัวบริษัทเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า บริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังก่อตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ของเอไอเอประกันชีวิต และเงินลงทุนในกองทุนรวมจากกรมธรรม์ยูนิตลิงก์ของเอไอเอประกันชีวิต ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดยูนิตลิงก์กว่า 53% คิดเป็นเบี้ยรับรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาทบนฐานลูกค้ากว่า 2 แสนรายมีตัวแทนที่มีใบอนุญาต (ไลเซนส์) ลงทุนแล้วกว่า 11,174 คน

“ปัจจุบันเงินลงทุนส่วนใหญ่ของเอไอเออยู่ในพันธบัตรรัฐบาล 5.1 แสนล้านบาท หุ้นกู้ 1 แสนล้านบาท หลักทรัพย์ต่างประเทศ (offshore) 1.3 แสนล้านบาทและหุ้นไทยอีก 1 แสนล้านบาท เรามีจุดแข็งคือ มีทีมผู้บริหารจัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ด้านลงทุนกว่า30 ปีทั้งในไทยและต่างประเทศ มีเครือข่ายเอไอเออีกกว่า 18 ประเทศทั่วโลก จะช่วยให้บริหารต้นทุนได้ถูกกว่าในตลาด โดยคาดว่าจะลดต้นทุนค่าธรรมเนียมจากระดับ 1.5-1.7% มาอยู่ที่ 1.2% ได้ และในภาวะดอกเบี้ยต่ำการแยกพอร์ตมาบริหารภายใต้ บลจ.จะช่วยทำให้เราหาผลตอบแทนให้ลูกค้าได้มากขึ้น”

ลุยเปิด 9 กองทุนปั้น AUM

สำหรับแผนธุรกิจปีนี้ บริษัทมีแผนจัดตั้งกองทุนรวมที่ลงทุนในประเทศ 5 กองทุน มูลค่ากองทุนเฉลี่ย 10,000 ล้านบาท และต้นปี 2564 จะเปิดตัวกองทุนรวมที่ลงทุนต่างประเทศอีก 4 กองทุน และในช่วงที่เหลือมีแผนเปิดเพิ่มอีก 3 กอง เน้นลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาวครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตต่อเนื่อง และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ คาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาเฉลี่ย 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปี

“ขณะนี้ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลกมีราคาแพง แต่การออกกองทุนของเราเป็นการลงทุนระยะยาว นักลงทุนที่ลงทุนในยูนิตลิงก์มีเงินเข้ามาลงทุนทุกเดือน ไม่ต้องกลัวจะถูกไถ่ถอนโดยไม่ได้มองว่าจะต้องบริหารสินทรัพย์สูงเป็นอันดับหนึ่ง แต่มองที่ผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอต่อผู้ลงทุนเป็นหลัก โดยเราตั้งเป้าใน 3-5 ปีจะมีผลิตภัณฑ์ลงทุนครบทุกประเภทสินทรัพย์โดยรวมไม่เกิน 20 กอง” นายสุขวัฒน์กล่าว

คู่แข่งใหม่ที่แข็งแกร่ง

ขณะที่ในมุมของผู้ประกอบธุรกิจกองทุนอื่น ๆ ที่กล่าวถึงการเข้ามาบุกธุรกิจกองทุนของค่ายเอไอเอ โดยนายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย (KAsset) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการกองทุน (AIMC) มองว่า บลจ.เอไอเอเป็นผู้เล่นรายใหม่ที่มีช่องทางขายแตกต่างจากผู้เล่นหลักในตลาด คือ จะขายผ่านตัวแทนประกันชีวิตที่มีทักษะการลงทุน ในขณะที่ผู้เล่นเดิมไม่มีส่วนนี้แต่ขายผ่านสาขาธนาคารพาณิชย์ หรือเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ (RM) เป็นหลัก

“เชื่อว่าแบบเดิมก็มีจุดที่แข่งขันได้ เนื่องจากพนักงานแบงก์มีความรู้ด้านเงินฝากที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ประกอบกับบริการบนแอปพลิเคชั่นของธนาคารค่อนข้างครอบคลุมการให้บริการที่เข้าถึงได้ง่าย” นายวศินกล่าว

นายวศินกล่าวด้วยว่า ตลาดกองทุนรวมในประเทศไทยยังมีศักยภาพเติบโตไปได้ถึง 100% ของ GDP จากปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของทั้งระบบอยู่ที่ 6.48 ล้านล้านบาท หรือ 50% ของ GDP

หนุนการแข่งขันคึกคัก

ด้านนางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า แม้ บลจ.กรุงไทยจะถูก บลจ.เอไอเอเบียดจนหล่นลงมาอยู่อันดับ 5 จากเดิมที่อยู่อันดับ 4 ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่ยังต้องสร้างฐานกองทุนรวมอีกค่อนข้างมาก เพราะสินทรัพย์ส่วนใหญ่ยังเป็นการรวบรวมเงินลงทุนของเอไอเอประกันชีวิตมาอยู่ภายใต้การบริหาร แต่อาจจะมีผลกดดันบาง บลจ.ที่มีกลุ่มลูกค้าทับซ้อนกันอยู่บ้าง

“คงขึ้นอยู่กับจำนวนตัวแทนเอไอเอที่มีใบอนุญาตขายหน่วยลงทุนว่าที่แอ็กทีฟมีมากน้อยแค่ไหน จึงมองเป็นคู่แข่งหน้าใหม่ในตลาดที่ทำให้ตลาดกองทุนรวมคึกคักขึ้น และอาจทำให้ บลจ.ต้องกระตือรือร้นในการดูแลลูกค้ามากขึ้นด้วย โดยการมีผู้เล่นไซซ์ใหญ่เข้ามาก็ช่วยเพิ่มสินทรัพย์กองทุนรวมในระบบให้โตขึ้น” นางชวินดากล่าว


ถือได้ว่าเป็นการปรับตัวในการทำธุรกิจของค่ายประกันชีวิตที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในเมืองไทย เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีขึ้น รับมือยุคอัตราดอกเบี้ยต่ำไปอีกยาวนาน ซึ่งหลังจากนี้ตลาดกองทุนรวมคงจะคึกคักขึ้นอีกมากพอสมควร โดยการแข่งขันที่มากขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนด้วย