“ดนุชา พิชยนันท์” รองเลขาสภาพัฒน์ฯ ยกปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฝ่าวิกฤต “หนี้”
เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 ที่ห้องแกรนด์ฮอล์ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก (เพลินจิต) หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ” จัดสัมมนา หนี้ โจทย์ใหญ่ประเทศไทยเราจะฝ่าวิกฤตครั้งนี้อย่างไร ในหัวข้อ ทางเลือก ทางรอด ฝ่าวิกฤต “หนี้”
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
โดยมี นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในหัวข้อเรื่อง “ปิดเพดานหนี้ฐานราก ปรับโครงสร้างหนี้ ประเทศ” ตอนหนึ่งว่า เรื่องหนี้อยู่ใกล้ตัวเราทุกคน ส่วนประเทศต้องเดิน financing ในรูปแบบนี้เช่นกัน ดังนั้น จึงต้องแยกหนี้ออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรกสถานการณ์หนี้สาธารณะของประเทศ ในช่วงกรกฎาคม 2563 ขณะนี้หนี้สาธารณะของประเทศ 47% ต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่อยู่ 41% หลายคนมองว่าพุ่งขึ้นมาเยอะ แต่มีความจำเป็นสถานการณ์ประเทศไม่ปกติ เราต้องบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ยังอยู่ในกรอบที่บริหารจัดการได้ ซึ่งตามกรอบอยู่ที่ 60% ของจีดีพี แม้ว่าจะกู้ตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท แต่สุดท้ายหนี้สาธารณะอยู่ที่ 57% อยู่ในกรอบที่บริหารจัดการได้
นายดนุชากล่าวว่า หากเทียบกับหนี้สาธารณะของประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา หนี้สาธารณะขึ้นจาก 109% มาเป็น 131% ญี่ปุ่นขึ้นจาก 237% มาเป็น 252% หรือสหราชอาณาจักร ปรับขึ้นจาก 85% มาเป็น 91% ของไทยอยู่ในระดับที่การพุ่งขึ้นไม่สูงมากนัก
ทั้งนี้ หนี้สาธารณะของประเทศเกิดขึ้น ส่วนแรกส่วนที่เรากู้มาเพื่อขาดดุลงบประมาณ เพราะเรามีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะสังเกตว่าเราจัดงบประมาณแบบขาดดุลมาโดยตลอด ซึ่งรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนที่เกินต้องกู้เข้ามา ช่วง 10 ปีจัดงบประมาณขาดดุลตั้งแต่ 2.5 แสนล้าน 3 แสนล้าน จนขณะนี้ 5-6 แสนล้าน ขยายตัวขึ้นมาตามขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น
“ถามว่ามีปัญหาหรือไม่ เราพยายามที่ทำงบประมาณเข้าสู่สมดุลให้ได้ภายใน 5-6 ปีข้างหน้า เราจะจัดงบประมาณขาดดุลแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้” นายดนุชากล่าว
นายดนุชา กล่าวว่า ส่วนที่สอง หนี้ที่กู้มาลงทุนในโครงการต่างๆ ทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า ขนส่งมวลชน ระบบประปา ระบบน้ำ โปรเจ็กต์เหล่านี้ปีๆ หนึ่งอยู่ที่ 3-5 แสนล้านต่อปี ขึ้นอยู่กับโครงการที่อนุมัติ ซึ่งไม่มีความกังวลมาก เพราะลงในโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้เศรษฐกิจไปข้างหน้าได้ มีการรีเทิร์นทางเศรษฐกิจ
ส่วนที่สาม คือหนี้ที่เกิดจากการทำนโยบาย กึ่งการคลัง คือ รัฐต้องการทำนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชน ต้องให้กลไกธนาคารของรัฐให้ความช่วยเหลือไปก่อน แล้วตั้งงบประมาณให้ภายหลัง หรือการทำโครงการ PPP ระหว่างรัฐกับเอกชน ในลักษณะ Long-term payment จ่ายประมาณ 10-20 ปีข้างหน้า
ต้องการให้เกิดสิ่งอำนวยความสะดวกเร็วขึ้น เช่น รถไฟฟ้าบางสาย ซึ่งโครงการเหล่านี้ทำได้ในบางช่วงเวลา คงจะทำเยอะไม่ได้เพราะจะไปเบียดฐานะการคลังของเรา ทำให้มีเงินลงทุนในงบประมาณลดลง ทำได้แค่บางโครงการเท่านั้น
“สิ่งที่จะเกิดจากการปรับโครงสร้าง ถ้าเราต้องการลดการขาดดุลของประเทศ ส่วนหนึ่งที่ต้องเริ่มทำวันนี้คือ ปรับโครงสร้างระบบราชการซึ่งใหญ่มาก ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นงบประจำ 80% สูงเกินไป ทั้งที่วันนี้มีเทคโนโลยี มีดิจิทัลเข้ามาดำเนินการได้ ในอนาคตต้องปรับโครงสร้างภาครัฐกระทัดรัดลง เพื่อจะได้มีช่องว่างสำหรับทำงบประมาณเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น และจะลดเรื่องการขาดดุลงบประมาณลงได้ ขณะเดียวกันจัดเก็บรายได้ให้เพิ่มมากขึ้นด้วย“ นายดนุชากล่าว
นายดนุชากล่าวว่า ในช่วงระยะสั้น 1-2 ปีข้างหน้า ภาครัฐต้องเป็นกลไกที่จะลงทุนไปก่อน เพราะสถานการณ์ขณะนี้เราได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า รวมถึงโควิด-19 เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ ไปลำบากเหลือแต่ภาครัฐอย่างเดียว การดำเนินการในระยะถัดไปจึงต้องปรับโครงสร้างภาครัฐ เพื่อปรับลดงบดำเนินการ และโครงสร้างหนี้ของประเทศไปในตัว
ซึ่งการจัดการหนี้สาธารณะของประเทศนั้น สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ดำเนินการอย่างรอบคอบ มีประสิทธิภาพ ยังไม่ต้องห่วง บริหารจัดการได้ และจะกู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
นายดนุชากล่าวว่า ส่วนหนี้ภาคธุรกิจในต้นปีที่ผ่านมาสินเชื่อธุรกิจขาดใหญ่ พุ่งสูงขึ้นมา โดยขยายตัว 36.5% เทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา เกิดจากการผ่อนคลายดอกเบี้ยต่างๆ แต่หากดู SMEs การขยายตัวค่อนข้างลดลงเยอะ ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าถึงแหล่งเงินลงทุน ศักยภาพของ SMEs ที่ยังมีปัญหาต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอยู่บ้าง จึงต้องมีการแก้ไข
ขณะเดียวกันหนี้ธุรกิจ SMEs ภาครัฐมีมาตรการไปหลายอย่าง ตั้งแต่ 10 มีนาคม 2563 ภาครัฐออกมาตรการไปค่อนข้างเยอะ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อผู้มีรายได้ประจำ สินเชื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราว วงเงิน 2.5 แสนล้าน
นอกจากนี้ ยังมี พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ SMEs ตอนนี้ใช้ไปแค่ 1 แสนล้านเท่านั้น จะต้องดูปรับเงื่อนไขการเงินการคลังอย่างไร
กำลังหารือกันระหว่าง กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒน์ฯ ทำอย่างไรที่จะปรับปรุงเงื่อนไขให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนของรัฐให้ได้ ต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเทอมต่างๆ ตอนนั้นที่มีนโยบายออกมาสถานการณ์ไม่น่าจะนาน จึงออกมาเทอมระยะสั้นเกินไปจึงต้องมาปรับเงื่อนไขอีกครั้ง
นายดนุชากล่าวว่า ส่วนหนี้ครัวเรือน ขณะนี้เราอยู่ที่ 80% ของจีดีพี โครงสร้างหนี้เป็นหนี้ระยะยาว ที่อยู่อาศัย 33.0-34% ส่วนสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอยู่ที่ 27% ต้องดูใกล้ชิด เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตได้ แต่เราไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามหามาตรการช่วยเหลือหนี้ส่วนบุคคล ให้อยู่รอดต่อไปได้และลดระดับหนี้ลงมา
อัตราการขยายตัวหนี้ครัวเรือนขยายตัวลดลงตั้งแต่กลางปี 2562 เข้มข้นขึ้นในการคัดกรอง และมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์ ทำให้สินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็นหนี้ครัวเรือนขยายตัวลดลงมาเรื่อยๆ แต่น่าสนใจว่าคนที่เป็นหนี้ครัวเรือน ส่วนใหญ่เริ่มเป็นหนี้เร็วขึ้น จบปริญญาตรีก็เป็นหนี้แล้ว คือกลุ่มอายุ 22-40 ปี เป็นหนี้ครัวเรือนค่อนข้างสูง เป็นที่แปลกใจจบปริญญาตรีสามารถสร้างหนี้สร้างสินได้เยอะ
จึงต้องกลับมาดูว่าเป็นที่ตัวบุคคลหรือ ecosystem ของระบบ เวลาไปซื้อของรูดบัตรเครดิต ซื้อของก็จะมีหมดใช้บัตรนี้ลดเท่านั้น ผ่อน 0% โปรโมชั่นพวกนี้ ทำให้มีการบริโภคมากขึ้น โดยที่เขาอาจจะมีกำลังไม่แข็งแรง เกิดอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นเรื่องที่เราต้องดูด้วยกันว่าจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้สร้างหนี้ที่มีคุณภาพได้ ให้มีสภาพคล่องเหลืออยู่ในการดำรงชีวิต หรือไปลงทุนที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ส่วนผลกระทบจากหนี้ต่างๆ ไล่ตั้งแต่หนี้ภาครัฐ เมื่อปัญหาหนี้ของประเทศสูงขึ้น อัตราขยายตัวลดลงโดยระบบ แม้มีเศรษฐกิจโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าหนี้เกินความสามารถของประเทศจะจัดการได้ทำให้อัตราการเจริญเติบโตของประเทศลดลง แต่โชคดีของประเทศไทยที่จัดการได้ ผ่อนคลายต่างๆ แทบจะ 100% เหลือเพียงให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามา มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้คนสามารถหารายเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้
ส่วนเม็ดเงินกู้ 4 แสนล้านฟื้นฟู จะใช้ในโครงการการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ในช่วงปีนี้ และยังมีมาตรการสำหรับคนที่ตกงานก็จะมีเข้ามาเรื่อยๆ ภาครัฐพยายามอนุมัติโครงการกระจายเม็ดเงินไปทั่วประเทศ เกษตรกร ชุมชน มีโอกาสสร้างรายได้ในชุมชนให้เขามีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
“ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญต้องช่วยนำพาประเทศที่พ้นวิกฤตไปได้ สิ่งหนึ่งที่ช่วยในการทำให้เรื่องหนี้ของเราไม่ขยายตัวมากขึ้นในอนาคต คงต้องใช้หลักที่เราเคยได้ยินมา สามารถประยุกต์ใช้ในระบบบุคคลและองค์กร คือหลักเศรษฐกิจพอเพียง พอประมาณ ไม่มีความต้องการที่เกินตัวเกินไปมีเหตุผลเพียงพอที่จะใช้จ่ายภาระหนี้ต่างๆ จะดีขึ้น
ไม่ได้หมายความว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้แล้วไม่ใช้จ่าย จะบริหารความเสี่ยงตนเอง ไม่ใช่จ่ายเกินความสามารถที่เรามี ขณะเดียวกัน ตอนนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐ คงไม่ใช่คนเดียวที่นำพาทุกภาคส่วนให้พ้นวิกฤต แต่เราต้องช่วยกันนำพาประเทศพ้นวิกฤตให้ได้” นายดนุชากล่าว