ปี 2564 ทองคำยังเป็นขาขึ้น ชี้ “5 ปัจจัยหลัก” หนุน

ทอง ร้านทอง ราคาทองคำ
แฟ้มภาพ: Jorge Silva/Reuters

ปี 2564 ทองคำยังเป็นขาขึ้น แต่ไม่โดดเด่นเท่าปี 2563

คอลัมน์ สถานีลงทุน
ธนรัชต์ พสวงศ์ 
ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส

หลังจากในปี 2563 ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุด โดยราคาทองคำ spot ในปี 2563 เพิ่มขึ้น 25.1% ส่วนราคาทองแท่งในประเทศเพิ่มขึ้น 24.6% แต่ในปี 2564 ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้นได้หรือไม่

ซึ่งในเดือนมกราคมราคาทองคำ spot ยังปรับขึ้นโดดเด่นเข้าใกล้ 1,960 ดอลลาร์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกรอบใหม่ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นอย่างมาก การตอบรับทางบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หลังโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ราคาทองคำ spot ปรับลดลงหลุดต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ จากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเพิ่มขึ้น

แนวโน้มราคาทองคำปี 2564 ยังเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่ายังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ ทางฮั่วเซ่งเฮงฯคาดการณ์เป้าหมายของราคาทองคำในปี 2564 ที่ 2,000 ดอลลาร์ กลยุทธ์การลงทุนแนะนำแบ่งเงินลงทุนในการทยอยซื้อสะสมที่ราคาทองคำ spot 1,784 ดอลลาร์ และ 1,764 ดอลลาร์

ปี 2564 ทองคำมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 5 ประเด็น ได้แก่

1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ

2) นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางชั้นนำ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ

3) แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น

4) การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชีย ทำให้ความต้องการทองคำในปีนี้จะฟื้นตัวขึ้น

5) ราคาหุ้นที่แพงและเต็มมูลค่า อาจทำให้ราคาหุ้นเกิดการปรับฐานได้ในบางช่วง และมีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในทองคำ

ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ความหวังของนักลงทุนว่าช่วงเลวร้ายสุดของเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่จะทำให้เริ่มเปิดเศรษฐกิจได้เมื่อสามารถฉีดได้ในวงกว้าง ทำให้ต้องระวังแรงเทขายทองคำในช่วงครึ่งปีหลัง

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ เป็นประเด็นหลักที่จะขับเคลื่อนราคาทองคำในปีนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐรอบนี้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “blue wave” นั่นคือสีฟ้า คือสีประจำพรรคเดโมแครต ครองอำนาจทั้งทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ทำให้มีการคาดการณ์ผ่านกฎหมายต่าง ๆ จะง่ายขึ้น โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากเดิมที่พรรครีพับลิกันหรือพรรคสีแดงครองอำนาจในทำเนียบขาว และครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ส่วนพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้ มีความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน หลังจากที่พรรคเดโมแครตผลักดันให้สภาคองเกรสให้ความเห็นชอบต่อแนวทางการพิจารณาอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ แบบ fast track

ซึ่ง นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐคาดว่ามาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 อาจจะผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรสได้ก่อนวันที่ 15 มีนาคม ซึ่งมาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จะหมดอายุ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดมีความล่าช้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะกลายเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ

สำหรับความต้องการทองคำทั่วโลกในปี 2563 ลดลงต่ำสุดในรอบ 11 ปี เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความต้องการทองคำภาคเครื่องประดับที่ลดลง 34% โดยเฉพาะจีนและอินเดียที่เป็นประเทศที่บริโภคทองคำรายใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลก ซึ่งในปี 2563 ความต้องการทองคำจากจีนและอินเดียลดลงถึง 35% และ 42% ตามลำดับ

แต่สังเกตได้ว่าความต้องการทองคำของทั้ง 2 ประเทศฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563

ดังนั้น การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียจะส่งผลให้ความต้องการทองคำภาคเครื่องประดับปี 2564 จะฟื้นตัวขึ้น และช่วยผลักดันให้ความต้องการทองคำโดยรวมเพิ่มขึ้น