ส่องเทรนด์กองทุน ESG เมืองไทย ครึ่งปีแรกเปิดใหม่ 20 กอง ดูดเงินไหลเข้า

กองทุน Fund Graph

ปัจจุบันกระแสการลงทุนอย่างยั่งยืน หรือ ESG (environment, docial, และ governance) มีความสำคัญมากขึ้นต่อเนื่อง ธุรกิจต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนเรื่องนี้กันอย่างต่อเนื่อง

โดยในประเทศไทยทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ค่ายต่าง ๆ ก็มีการออกกองทุน ESG มาเสนอขายมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า กองทุน ESG ในประเทศไทยปัจจุบัน (ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2564) มีทั้งสิ้น 48 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินรวมกัน 5.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.5% จากสิ้นปี 2563

โดยในรอบครึ่งปีแรกมีเงินไหลเข้าสุทธิ 2.4 หมื่นล้านบาท แต่เฉพาะในไตรมาส 2 เงินไหลออกสุทธิ 1,500 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 2 มีกองทุนเปิดใหม่ 5 กองทุน ส่งผลให้ช่วงครึ่งปีแรกมีกองทุนเปิดใหม่รวมแล้ว 20 กองทุน

ทั้งนี้ ในจำนวนทั้งหมด 48 กองทุน เป็นการลงทุนหุ้นในประเทศ 15 กองทุน มูลค่าทรัพย์สิน 1,500 ล้านบาท คิดเป็น2.7% ของมูลค่าการลงทุนยั่งยืนทั้งหมด ขณะที่ปัจจุบัน บลจ.ส่วนใหญ่ของไทยได้เปิดขายกองทุน ESG แล้ว 16 บริษัท จาก บลจ.ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 23 บริษัท

โดย บลจ.กสิกรไทยมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดอยู่ที่ 33% ตามมาด้วย บลจ.ธนชาตอยู่ที่ 22.9% และ บลจ.เอ็มเอฟซี อยู่ที่ 12.2% ซึ่ง 3 รายนี้รวมกันมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 68% (ดูตาราง)

“ส่วนมากการลงทุนในกองทุน ESG ยังเป็นการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากในต่างประเทศจะมีบริษัททำธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับ ESG หรือความยั่งยืนมากกว่า และมีตัวเลือกให้นักลงทุนเลือกมากกว่ารวมทั้งด้านของการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทในการจัดการแบบ ESG ในต่างประเทศมีความชัดเจน นักลงทุนส่วนใหญ่จึงเน้นไปในการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก

ส่วนในไทยกองทุน ESG กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาเรื่องการรวบรวมข้อมูล เพื่อให้รู้ถึงแนวทางการทำงานของบริษัทว่ามีการจัดการที่เกี่ยวกับ ESG อย่างไร และเพื่อให้มีข้อมูลที่เพียงพอในการคัดเลือกหุ้นเพื่อเปิดกองทุน ESG มากขึ้น และเป็นตัวเลือกสำหรับนักลงทุน ซึ่งหากสามารถเปิดเผยข้อมูลในด้านการบริหารจัดการ ESG ได้มากขึ้น แนวโน้มการเติบโตของกองทุน ESG ในไทยก็อาจเพิ่มขึ้นไปด้วย” นางสาวชญานีกล่าว

ด้าน “วศิน วณิชย์วรนันต์” ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) บอกว่า โดยรวมกระแส ESG ถือว่ามีทิศทางที่ดีขึ้น เห็นได้จากความสนใจของนักลงทุนที่มีการลงทุนกองทุน ESG กันเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนส่วนใหญ่เล็งเห็นถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและด้านการบริหารจัดการมากขึ้น

ขณะที่ความกังวลในอดีตสำหรับบริษัทที่ให้ความสำคัญในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน อาจจะให้ผลประกอบการสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่ในปัจจุบันผลประกอบการของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ ESG ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากกับผลประกอบการของบริษัทโดยทั่วไป

“ตอนนี้นักลงทุนไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุน ESG เพิ่มขึ้น แต่อาจจะยังไม่ได้มากเท่ากับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ไทยอยู่ในช่วงของการพัฒนาตลาด ESG แต่ในแง่ของการกำกับดูแลกิจการ (CG) ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีแล้ว”

นายกสมาคม บลจ.กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ นักลงทุนมืออาชีพก็ได้หันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในระยะยาวและความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้น บริษัทที่มีผลประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ แต่ถูกมองว่าเป็นบริษัทที่มีการจัดการที่ดี ทำให้ลักษณะของมูลค่าของบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ด้อยค่าลง

บวกกับน้ำหนักของผู้ลงทุนที่เริ่มตระหนักถึงความยั่งยืนของการลงทุนในตลาดนี้มากขึ้น ทำให้คุณค่าของบริษัทที่มี ESG มีมูลค่าไม่แพ้หรืออาจจะดีกว่าบางบริษัทด้วยซ้ำที่ไม่ดำเนินธุรกิจ ESG ทำให้มองว่าต่อจากนี้ไปการลงทุนในกลุ่ม ESG จะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นในหมู่ของนักลงทุน

ถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในกิจการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น หวังว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป