โกลเบล็ก คัด 18 หุ้นน่าซื้อ ชูธีมงบ Q2 เด่น-WFH

หุ้น

บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเดือนสิงหาคมยังไซด์เวย์ ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งทำลายสถิติรายวัน ล่าสุด ศบค.ยกระดับพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ขยายเวลาล็อกดาวน์เพิ่มอีก 14 วัน ส่งผล Consensus เตรียมหั่น GDP ลงอีก ให้กรอบดัชนีเคลื่อนไหว  1,500-1,570 จุด พร้อมคัด 18 หุ้นน่าซื้อ ชูธีมงบไตรมาส 2/64 ออกมาดีและหุ้นที่ได้ประโยชน์ WFH 100%

วันที่ 5 สิงหาคม 2564 นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมยังคง Sideway Down โดยนักลงทุนยังกังวลจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศยังอยู่ในระดับสูงจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่รุนแรงขยายพันธุ์เร็วกว่าสายพันธุ์อื่น 1,000 เท่า ทำให้ทั่วโลกเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง โดยสถานการณ์ในอินโดนีเซีย ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทะลุ 3,460,000 ราย เสียชีวิตกว่า 97,000 ราย สูงสุดในอาเซียน

วิลาสินี บุญมาสูงทรง

ส่วนฟิลิปปินส์ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พุ่งทะลุ 1,600,000 ราย เสียชีวิตกว่า 28,000 ราย สูงอันดับ 2 ในอาเซียน ด้านญี่ปุ่นประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมการระบาดในหลายจังหวัด จีนประกาศใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดทั่วประเทศ เวียดนามจะขยายเวลาล็อกดาวน์ มาเลเซียขยายภาวะฉุกเฉินในซาราวักถึง ก.พ.ปีหน้า พร้อมระงับเลือกตั้ง ส่วนอังกฤษเตือนเมียนมาอาจติดโควิด-19 ครึ่งประเทศในอีก 2 สัปดาห์หากไม่ได้รับวัคซีนเพียงพอ

อีกทั้งทางศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ได้ประกาศยกระดับเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ขยายเวลาล็อกดาวน์ 14 วัน ผ่อนคลายร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า มีผลตั้งแต่ 3 ส.ค. หากยังไม่ดีขึ้นอาจขยายเวลาต่อไปจนถึง 31 ส.ค. ซึ่งประเมินว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/64 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสาม ด้วยการบริโภคภาคเอกชนลดลง และภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว เพราะยังจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศยังมีอยู่ ส่งผลให้ Consensus อาจปรับลดประมาณการ GDP ปี 64 ลงอีก จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ระดับ 1,500-1,570 จุด

ขณะที่กลุ่มโอเปก ได้เพิ่มการผลิตน้ำมันเป็น 26.72 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน ก.ค. สูงสุดในรอบ 15 เดือนตามมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือน ส.ค. จนถึงเดือน ธ.ค.ปีนี้  โดยราคาน้ำมัน WTI ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 0.7% ปิดเหนือระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยยังเชื่อมั่นต่อแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันท่ามกลางการเปิดเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ แม้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ยังคงจับตายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และการแก้ไขสถานการณ์ของภาครัฐ รวมทั้งการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 5/2564  ประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.)  และสำนักงานประกันสังคมเริ่มโอนเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตนตาม ม.33 และการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 ของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในหมวดต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศออกมาตลอดในช่วงเดือนสิงหาคม อีกทั้งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/64 ออกมาดี ได้แก่ WICE, AS, BCH, LANNA, SPALI, XO และ CKP และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย WFH 100% ได้แก่ ADVANC, DTAC, TRUE, JAS, DIF, JASIF, ITEL, NETBAY, YGG, AS และ INSET

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำโลกในเดือนกรกฎาคมปรับตัวขึ้น 44 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ 1,814 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีดิ่งลงสู่ 1.37% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. ส่งผลให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการลงทุนถือครองทองคำลดลง และสภาทองคำโลกระบุว่า 1 ใน 5 ของธนาคารกลางรายใหญ่มีแผนที่จะเพิ่มทองคำในระบบทุนสำรองในปีหน้าเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำเพิ่มเติม

นอกจากนี้ทองคำได้รับปัจจัยหนุนหลังจากนายพาวเวลได้กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ โดยระบุว่าเฟดจะยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE และจะยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นในขณะนี้ พร้อมกับย้ำว่าเฟดจะใช้นโยบายการเงินในการสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์

ส่วนประเด็นเงินเฟ้อนายพาวเวลมองว่าเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในระยะนี้เกิดจากปัจจัยชั่วคราว จากการที่รัฐต่าง ๆ ทำการเปิดเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ก่อนที่จะปรับตัวลงเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ กลับสู่ภาวะปกติ

ดังนั้นจากความผันผวนของราคาทองคำและความกังวลในการปรับลดวงเงิน QE ของเฟดในการประชุมเดือน ส.ค.-ก.ย.เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง ฝ่ายวิจัยประเมินกรอบทองคำในเดือนนี้ที่ 1,770-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านจากความกังวลการปรับลดวงเงิน QE