ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบกำลังจะ “สูญพันธุ์” จริงไหม ?

ตราสารหนี้
สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)

ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบกำลังจะ “สูญพันธุ์” จริงไหม?

เป็นเวลากว่า 8 ปีที่มีตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบเกิดขึ้นในโลกการเงิน โดยมีนักลงทุนยินยอมเข้าลงทุนรับผลตอบแทนติดลบนี้ด้วย มูลค่าของตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกเคยมีมูลค่าสูงสุดที่ 18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ช่วงปลายปี 2020 อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบเหล่านี้อาจกำลังจะหายไปในไม่ช้าหลังจากที่เริ่มเข้าสู่ยุคของดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบเกิดขึ้นเป็นที่แรกในกลุ่มประเทศแถบยุโรป เนื่องจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับธนาคารกลางจนติดลบ และยังเสริมสภาพคล่องในระบบการเงินด้วยการเข้าซื้อตราสารหนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2014 หลังจากนั้นธนาคารกลางญี่ปุ่นก็เป็นธนาคารกลางอีกแห่งที่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนติดลบในปี 2016 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบไม่ได้หมายความว่านักลงทุนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ออก แต่ตราสารหนี้เหล่านี้จะมีราคาสูงมากจนดอกเบี้ยที่ได้รับไม่คุ้มกับผลขาดทุนที่เกิดจากส่วนต่างราคาซื้อและมูลค่าหน้าตั๋วที่นักลงทุนจะได้คืนเมื่อถือจนครบกำหนด

ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกเคยมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่ COVID-19 กำลังระบาดทั่วโลก เศรษฐกิจโลกหดตัวจนธนาคารกลางของแต่ละประเทศต่างดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยลดอัตราดอกเบี้ยตลอดจนการอัดฉีดสภาพคล่องในระบบการเงินด้วยการเข้าซื้อตราสารหนี้ต่าง ๆ ในตลาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ต่ำลงจนติดลบมากขึ้นเรื่อย ๆ ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบจึงมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้น

กว่า 70% ของตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบเป็นพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ส่วนอีก 30% ที่เหลือเป็น Government-related bond, Securitized bond และหุ้นกู้ หากแยกเป็นผู้ออกรายประเทศ กว่า 50% ออกโดยประเทศในกลุ่มยุโรป ส่วนอีก 30% เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยประเทศญี่ปุ่น

มูลค่าตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกเริ่มลดลงในปี 2021

หลังจากหลายประเทศทั่วโลกเริ่มเปิดเมือง เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจนสามารถขยายตัวได้อย่างร้อนแรง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกโดยเฉพาะในยุโรปปรับตัวสูงขึ้นโดยราคาตราสารหนี้จะต่ำลง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากราคาที่ปรับตัวต่ำลง

นักลงทุนต่างขายตราสารหนี้และเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นแทนเพื่อตอบรับเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวจึงเป็นปัจจัยเสริมให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ยิ่งสูงขึ้น  โดยจากข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบทั่วโลกมีมูลค่ารวมลดลงเหลือเพียง 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากที่เคยสูงถึง 18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ในปีนี้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากจากที่ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกปรับขึ้นดอกเบี้ยและค่อย ๆ ถอนมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบการเงิน ปัจจัยต่าง ๆ ที่เคยทำให้เกิดตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบกำลังจะหมดไป อีกไม่นานนัก ตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบก็น่าจะกำลัง “สูญพันธุ์” ไปในที่สุด

หลังจากนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเห็นปรากฏการณ์ประหลาดแบบนี้อีก โดยพิจารณาจากนโยบายการเงินแบบตึงตัวจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรปที่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ก.ค. นี้และจะขึ้นอีกครั้งในเดือน ก.ย. ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายอาจกลับมาเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014 นอกจากนี้ยังได้พิจารณาที่จะยกเลิกมาตรการเสริมสภาพคล่องในระบบการเงินภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ และยังคาดการณ์เงินเฟ้อยุโรปปีนี้จะสูงถึง 6.8% จากนั้นจะชะลอตัวลงเหลือ 3.5% และ 2.1% ในปี 2023 และ 2024 ตามลำดับ

เราจึงอาจไม่ได้เห็นตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบจากยุโรปไปอีกนาน ธนาคารกลางญี่ปุ่นเองแม้จะยังไม่มีวี่แววว่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่นักวิเคราะห์หลายสำนักก็เริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจต้องเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายบ้างเพื่อไม่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่นับวันจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ แล้วจึงไม่ง่ายที่จะเกิดตราสารหนี้ผลตอบแทนติดลบอีก จึงน่าบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าครั้งหนึ่งผู้ออกตราสารหนี้เหล่านี้เสมือนกับว่าได้กู้เงินโดยที่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย แถมยังได้ผลตอบแทนคืนมาอีกด้วย !!