รพ.รามา-สธ. แถลงเจอผู้ป่วยติดโควิด 2 ราย หลังพ้นกักตัว 14 วัน อยู่ “ชัยภูมิ-เลย”

รพ.รามา ยอมรับ เจอผู้ป่วยติดโควิดรายใหม่ หลังพ้นกักตัว 14 วัน

โรงพยาบาลรามาธิบดี ยอมรับ เจอผู้ป่วยติดโควิด 2 รายจากดูไบ หลังพ้นกักตัว 14 วัน ด้านกรมควบคุมโรคแถลง เผยมี 2 ราย รายแรกอยู่จังหวัด “ชัยภูมิ” เป็นผู้ติดเชื้อรายเดิมที่พบซากเชื้อ อีกรายอยู่ จังหวัดเลย พบเชื้อ ติดตามนำตัวมาดูแลที่โรงพยาบาลแล้ว พร้อมเร่งสอบสวนโรคผู้ใกล้ชิดทั้ง 2 ราย

วันที่ 19 สิงหาคม 2563 นายแพทย์ ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยถึงกรณีพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และ มีการแชร์กันในโลกออนไลน์ ว่า การพบผู้ป่วยคนไทยดังกล่าว มาจากคลินิกเออาร์ไอคลินิก ซึ่งเป็นคลินิกโรคระบบทางเดินทางหายใจ

ขณะนี้ทำการตรวจรักษาอยู่ โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ โดยคนไทยดังกล่าว เป็นผู้ที่เคยทำงานที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ด้าน แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า เบื้องต้นทางกรมควบคุมโรค ได้รับรายงานว่ามีการพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดแล้ว แต่กำลังดำเนินการตรวจสอบรายละเอียด

โดยพบว่าผู้ป่วยคนดังกล่าว เป็นคนที่เคยพักอยู่ใน state quarantine และ ครบกำหนด 14 วันแล้ว จึงออกมาใช้ชีวิตตามปกติ

ล่าสุดวันนี้ (19 สิงหาคม 2563) เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และรศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. และคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แถลงถึงกรณีดังกล่าวว่า ตามที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ทำการตรวจสุขภาพหญิงไทย 2 ราย อายุ 34 และ 35 ปี ซึ่งมาขอใบรับรองแพทย์ประกอบการเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ โดยมีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ทางห้องปฏิบัติการ และผลพบสารพันธุกรรมในปริมาณน้อย

จากข้อมูลการสอบถามทั้งสองรายนี้ ไม่มีไข้ ไม่มีอาการป่วยทางเดินหายใจ และอยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างตรวจยืนยันด้วยวิธีการเพาะเชื้อ เพื่อประกอบการสรุปผลการวินิจฉัยต่อไป โดยขณะนี้ทั้งสองรายอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาล และได้แจ้งข้อมูลให้กับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ทราบและตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

รายแรกอยู่ “ชัยภูมิ” พบ “ซากเชื้อ”

ทางด้าน รศ.นพ.สุรศักดิ์ ให้ข้อมูลว่ารายแรก เป็นเพศหญิง อายุ 34 ปี เคยทำงานที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เดินทางกลับมาไทยเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 63 ไม่มีอาการ เข้ากักตัวที่สถานกักกันที่ราชการกำหนด 2 สัปดาห์ ทำการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ครั้งที่ 1 วันที่ 5 มิ.ย. ตรวจพบสารพันธุกรรมปริมาณน้อย สรุปผลการตรวจหาเชื้อกำกวม (Inconclusive result) และตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 13 มิ.ย. ผลไม่พบเชื้อ

เมื่อกักกันครบ 2 สัปดาห์ ได้รับอนุญาตเดินทางกลับภูมิลำเนาที่จ. ชัยภูมิ และพักแยกตัวจนครบ 30 วัน ต่อมาในวันที่ 17 ส.ค. 63 เตรียมตัวเดินทางต่างประเทศ จึงได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ที่ร.พ.รามาธิบดี ผลการตรวจวันที่ 18 ส.ค. 63 พบสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด 19 ในปริมาณน้อย และเจาะเลือดตรวจพบภูมิคุ้มกัน ขณะนี้แพทย์รับไว้ดูแลในโรงพยาบาล

จึงสรุปว่าเป็นผู้ติดเชื้อรายเดิมที่พบซากเชื้อและเคยอยู่ในสถานที่กักกันจนครบกำหนดแล้ว

รายที่สองอยู่จังหวัด”เลย” ติดตามตัวดูแลที่รพ.

ส่วนในรายที่ 2 เป็นเพศหญิง อายุ 35 ปี เคยทำงานที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เดินทางกลับไทยเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 63 เข้ากักตัวที่สถานกักกันที่ราชการกำหนดนาน 2 สัปดาห์ ทำการตรวจหาเชื้อ 2 ครั้ง ไม่พบเชื้อ จึงได้รับอนุญาตเดินทางกลับภูมิลำเนา จังหวัดเลย

จากนั้นวันที่ 16 ส.ค. 63 เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยรถยนต์ส่วนตัว เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และในวันที่ 18 ส.ค. 63 ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 พบสารพันธุกรรม ขณะนี้ทาง ร.พ.รามาธิบดี ได้ติดตามนำตัวมาไว้ดูแลที่โรงพยาบาลแล้ว

ทั้งนี้ จากข้อมูลทางระบาดวิทยาคาดว่ามีโอกาสที่จะเป็นการติดเชื้อในประเทศได้น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ต้องทำการตรวจสอบโดยกระบวนการเดียวกับรายแรกต่อไป

เร่งสอบสวนโรคผู้เกี่ยวข้อง-คนใกล้ชิด

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า หลังจากได้รับรายงานในเรื่องนี้ ทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรค ของกรมควบคุมโรค ได้ทำการสอบสวนเบื้องต้นเพื่อให้ได้ประวัติเสี่ยง และผู้อยู่ใกล้ชิดกับผู้หญิงสองรายนี้ ขณะนี้ได้ดำเนินการประสานกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อค้นหาและติดตามตัวผู้อยู่ใกล้ชิดในครอบครัวและชุมชน พร้อมสอบสวนเพิ่มเติมและแนะนำให้เฝ้าระวังอาการ ปฏิบัติตัวป้องกันโรค ต่อไป

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจในมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทยที่มีระบบเข้มแข็ง และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนกำลังเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อสอบสวนและควบคุมโรคดังกล่าว และขอให้ประชาชนดูแลป้องกันตนเอง ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัดต่อเนื่องเช่นเดิม “สวมหน้ากาก ล้างมือ แยกของใช้ เว้นระยะห่าง ลดแออัด” หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ทางด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากข้อมูลวารสารทางการแพทย์ในต่างประเทศ พบว่าโอกาสของผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว มีซากเชื้อไวรัสในร่างกายได้ถึง 3 เดือน และไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

สธ.แถลงข่าว
กรมควบคุมโรค และร.พ.รามาธิบดี แถลงข่าว กรณีตรวจสอบหญิงไทย 2 ราย และพบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโควิด-19