สธ. พร้อมเปิด “วอล์กอิน” ฉีดวัคซีนโควิด ช่วยประชาชนเข้าถึงมากขึ้น

ฉีดวัคซีนโควิด

คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เร่งปรับแผนฉีดวัคซีน ไฟเขียววอล์กอิน เดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรก ย้ำจังหวัดไหนพร้อมเริ่มได้ทันที พร้อมเจรจาเพิ่มวัคซีนเป็น 150 ล้านโดส-ดีลบริษัทวัคซีนซื้อวัคซีนโควิดครอบคลุมไวรัสกลายพันธุ์ รับมือสถานการณ์

วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังรัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนที่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 จองคิวฉีดวัคซีนผ่าน “หมอพร้อม” ซึ่งมีทั้งผู้ที่ลงทะเบียนได้สำเร็จและไม่สำเร็จ ล่าสุด นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ขณะนี้มีแนวคิดให้ประชาชนที่ต้องการฉีดวัคซีนเข้ามารับบริการได้เลย โดยไม่ต้องลงทะเบียน เพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

  1. กรมควบคุมโรค จะระบุยอดเป้าหมายของการฉีดแต่ละจังหวัดให้ครอบคลุมประชากรอย่างน้อย 70% ซึ่งจะฉีดแตกต่างกันตามสถานการณ์ของแต่ละจังหวัด เช่น ขณะนี้มีการระบาดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เราจะกระจายวัคซีนไปให้มากที่สุดเพื่อควบคุมการระบาด ส่วนจังหวัดอื่นก็จะกระจายไปให้ครอบคลุม 70% ของประชากรตามลำดับ ซึ่งหากจังหวัดไหนมีความพร้อมก็สามารถเริ่มดำเนินการได้เลย
  2. นโยบายวอล์กอิน จะสอดคล้องกับนโยบายปูพรม เราต้องขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงวัคซีนให้มากที่สุด โดยจะเริ่มต้นฉีดในเดือนมิถุนายน หลายช่องทาง ดังนี้
  • ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น จะทราบวันและเวลาที่ชัดเจน ไม่ต้องนั่งรอ เป็นช่องทางที่มีความสะดวกมากที่สุด
  • สถานพยาบาลที่มีรายชื่อผู้ป่วยกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว ก็จะนัดวันเวลาเข้ามาฉีด
  • สำหรับผู้ที่ไม่มีประวัติการรักษาโรค แต่มีความจำเป็นและต้องการฉีดวัคซีน อย่างเช่น คนขับรถสาธารณะ คนขับรถแท็กซี่ ในกลุ่มนี้สามารถเข้าสู่ระบบการวอล์คอินฉีด ที่ทางจังหวัดจะเป็นผู้บริหารจุดบริการฉีด ดำเนินการในรายละเอียด และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ เช่น จุดฉีด จำนวนต่อวัน

“รายละเอียดต่าง ๆ ให้ประชาชนติดตามประกาศในแต่ละจังหวัด แต่สัดส่วนบริหารวัคซีน เบื้องต้นที่คุยกัน เรายกตัวอย่างสูตร 30-50-20 คือ ลงทะเบียนผ่านระบบ 30% สถานพยาบาลกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 50% และจุดวอล์กอิน 20% เป็นต้น ซึ่งสูตรเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมตามความเห็นของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯ กำกับดูแล” นพ.โอภาส กล่าว

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดหาวัคซีนโควิด 19 สำหรับประชากรไทยในปี 2565 โดยให้เร่งรัดเจรจากับผู้ผลิตที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 ที่สามารถครอบคลุมไวรัสกลายพันธุ์ ส่งมอบได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2565

ควบคู่กับการเร่งแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วยแพลตฟอร์มใหม่ สนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนแบบรองรับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส แนวทางการขึ้นทะเบียนวัคซีนที่วิจัยพัฒนาในประเทศ ตลอดจนความร่วมมือกับต่างประเทศในการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 3 โดยจะรายงาน ศบค.ให้รับทราบต่อไป

“การจัดหาวัคซีนไม่ได้เป็นการซื้อครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกรอบกว้าง ๆ เพื่อจัดหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยมีทางเลือกวัคซีนรุ่นใหม่ ยี่ห้อใหม่ ครอบคลุมสายพันธุ์เพิ่มเติมให้มากที่สุด หากประเทศผู้ผลิตต้นทางเกิดสถานการณ์การระบาดที่อาจมีการชะลอการจัดส่ง ทำให้ประเทศไทยมีทางออกในหลายทาง”