ตามไปดู 1 ปี “BDI” เปลี่ยนประเทศด้วย “บิ๊กดาต้า”

BIG
รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ทำหน้าที่เสมือน “เส้นเลือดฝอย” เชื่อมโยงการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้ข้อมูลที่จัดเก็บไว้มีการนำมาใช้เพื่อวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หลังจัดตั้งหน่วยงานมาได้ 1 ปี BDI มีการทำงานในโครงการใดบ้าง และก้าวต่อไปของหน่วยงานนี้จะเป็นอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการ BDI ดังนี้

อัพเดต Travel Link

รศ.ดร.ธีรณีกล่าวว่า โครงการที่ BDI ทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เป็นสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์ และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) อยู่ภายใต้สังกัดสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) คือ แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านท่องเที่ยวแห่งชาติ (Travel Link) ที่รวบรวมข้อมูลของการเดินทาง การพักแรม การใช้จ่าย และกระแสโซเชียลมีเดีย มาวิเคราะห์ให้ทราบถึงการแสดงความคิดเห็นของนักท่องเที่ยว จำนวนผู้มาเยี่ยมเยือน สถิติผู้โดยสารผ่านสนามบินโดยแสดงผลสถิติผ่านอินโฟกราฟิก ที่อัพเดตรายวันและรายเดือน

“Travel Link เริ่มนำร่องใน จ.ภูเก็ต เป็นพื้นที่แซนด์บอกซ์ที่มีการจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ เป็นอย่างดี ก่อนขยายผลไปยังจังหวัดอื่น โดยภายในปี 2570 ข้อมูลบน Travel Link จะต้องมีครบทั้ง 22 จังหวัดท่องเที่ยว”

ข้อมูลจาก Travel Link ช่วยให้หน่วยงาน หรือภาคธุรกิจต่าง ๆ ทราบว่านักท่องเที่ยวจากประเทศใดที่เข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการออกแบบนโยบายหรือแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น ฟรีวีซ่าที่ครอบคลุมนักท่องเที่ยวจากคาซัคสถาน เพราะมีข้อมูลที่ระบุว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยเป็นจำนวนมากจริง ๆ

City Data Platform

นอกจาก Travel Link ยังมีโครงการแพลตฟอร์มข้อมูลเมืองอัจฉริยะ หรือ City Data Platform (CDP) ส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน และภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อให้เกิดระบบข้อมูลกลาง และนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนงานที่ตอบรับกับนโยบายของจังหวัด

ADVERTISMENT

โดยรวบรวม เชื่อมโยง จัดเก็บ และประมวลผลข้อมูล เช่น ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว ด้านสุขภาพ ด้านสิ่งแวดล้อม มาใช้ในการวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาให้ตรงกับความต้องการของเมืองในด้านต่าง ๆ พร้อมทั้งออกแบบเป็นแดชบอร์ดให้สะดวกกับการใช้งาน

“ความแตกต่างระหว่าง Travel Link และ CDP คือ กลุ่มผู้ใช้ส่วนใหญ่ของ Travel Link เป็นผู้ประกอบการที่นำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนธุรกิจให้เหมาะสมกับจำนวนนักท่องเที่ยวแต่ละช่วงเวลา ส่วน CDP เป็นแพลตฟอร์มที่หน่วยงานรัฐใช้ในการทำความเข้าใจแต่ละพื้นที่ และออกแบบนโยบายที่มีความเหมาะสม เช่น การตามหากลุ่มเปราะบางเพื่อแจกเงิน 10,000 บาท เป็นต้น”

ADVERTISMENT

Envi Link-Health Link

รศ.ดร.ธีรณีกล่าวต่อว่า ยังมีแพลตฟอร์มสำหรับเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (Health Link) ที่เชื่อมต่อฐานข้อมูลของสถานพยาบาล และร้านขายยาในระบบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในกรุงเทพฯกว่า 1,500 แห่ง รองรับการใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกที่ โดยแพทย์สามารถเข้าดูข้อมูลสุขภาพของคนไข้จากโรงพยาบาลอื่นได้ตามสิทธิที่คนไข้กำหนด รวมถึงแพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Envi Link)

Envi Link จะทำงานพร้อมกันใน 2 พื้นที่ คือ 1.จ.ภูเก็ต ทำเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน พัฒนาภูเก็ตเป็นต้นแบบเมืองท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ พร้อมตั้งเป้าลดคาร์บอน 30% ภายใน 3 ปี และ 2.จ.เชียงใหม่ ทำเรื่องการลดปริมาณฝุ่น PM 2.5

และภายใต้โครงการที่ทำร่วมกับภูเก็ต BDI ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลด้านต่าง ๆ พร้อมจัดทำเป็นรายงานสถานการณ์สภาพแวดล้อม เช่น คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศของพื้นที่ และใช้ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) มาพัฒนาโมเดลจำแนกประเภทยานพาหนะ แล้วนับจำนวนรถแต่ละประเภทที่ผ่านเข้ามาในพื้นที่ก่อนจะประมาณการให้กลายเป็นปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้แล้วคำนวณให้เป็นคาร์บอนฟุตพรินต์ และนำเสนอผ่านแดชบอร์ด เพื่อให้หน่วยงานและคนในพื้นที่เห็นทิศทางการเปลี่ยนแปลง และวางแผนการบริหารทรัพยากรอย่างเหมาะสมต่อไป

“ภูเก็ตเป็นพื้นที่ที่ประสบความเร็จในการทำงานมาก เพราะมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เหนียวแน่น รวมถึงมีหน่วยงานหรือภาคเอกชนพร้อมรับช่วงต่อจากสิ่งที่เราทำ ซึ่งการพัฒนาโครงการใหม่ ไม่ยากเท่ารักษาสิ่งที่ทำแล้วให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน”

Big Data Platform

รศ.ดร.ธีรณีกล่าวว่า อีกสิ่งที่จะทำให้แพลตฟอร์มหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่รวบรวมมาอยู่ได้อย่างยั่งยืน คือ การพัฒนา National Big Data Platform หรือแพลตฟอร์มกลางที่หน่วยงานต่าง ๆ เข้าถึงข้อมูล และแดชบอร์ดแต่ละโครงการได้ ซัพพอร์ตจังหวัดที่ไม่มีหน่วยงานจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ

แผนการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เริ่มจากในปี 2568 ใช้เงินทุนสะสมในการเชื่อมแพลตฟอร์มที่มีอยู่เข้าด้วยกัน จากนั้นในปีงบประมาณ 2569 จะเริ่มเอาระบบทั้งหมดขึ้นแพลตฟอร์มใหม่ มีการปลั๊กอิน AI เข้าไปเพื่อเพิ่มความสามารถในการจัดการข้อมูล และพัฒนาบริการที่ BDI เข้าไปช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้ ส่วนในปี 2570 ตั้งเป้าเปิดบริการที่หน่วยงานต่าง ๆ จะดึงข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ในหน่วยงานได้

“การมี National Big Data Platform ช่วยให้ข้อมูลของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ใช้ร่วมกันได้ง่ายขึ้น สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Agenda Based และต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ ๆ ได้ เช่น การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) เป็นต้น”

ขยายโครงสร้าง-กำลังคน

ผู้อำนวยการ BDI กล่าวด้วยว่า ในปีงบประมาณ 2568 ได้รับงบฯ 303 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการพัฒนาคน ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 150 คน 80% เป็นทีมเทคโนโลยี เช่น โปรแกรมเมอร์ และ Data Scientist ซึ่งในปี 2568-2569 จะขยายทีมให้ได้ 200 คน โดยจะเริ่มรับพนักงานในส่วนของ Data Engineer และ DevOps มากขึ้น

“ส่วนแผนการขยายโครงสร้างทางดิจิทัล ตั้งใจที่จะใช้บริการคลาวด์ของผู้ให้บริการทุกราย เชื่อมระบบเป็นมัลติคลาวด์ เพราะระบบของผู้ให้บริการแต่ละรายมีจุดแข็งหรือข้อได้เปรียบต่างกัน ทั้งมีแผนที่จะย้ายระบบบางส่วนไปไว้บนคลาวด์ของผู้ให้บริการต่างชาติด้วย”

ความคืบหน้า Thai LLM

BDI ยังมีอีกหนึ่งโครงการใหญ่ที่ต้องดำเนินการ นั่นคือ การพัฒนา Thai Large Language Model (Thai LLM) เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่รองรับการใช้งานภาษาไทย ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักเชื่อมกับหน่วยงานอื่น ๆ 
เช่น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ

รศ.ดร.ธีรณีอธิบายว่า เหตุผลที่ไทยต้องพัฒนา LLM เป็นโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ขณะที่กลุ่มบิ๊กเทคมี LLM พร้อมให้บริการ เพราะ 1.เพื่อสร้างความหลากหลายของข้อมูลที่ตอบโจทย์การใช้งานในประเทศโดยเฉพาะ 2.รักษาอธิปไตยของข้อมูล ควบคุมการเข้าถึงในประเทศ ป้องกันความเสี่ยงจากเหตุที่คาดไม่ถึง และ 3.จะควบคุม “ราคา” การเข้าถึงบริการต่าง ๆ ช่วยให้ SMEs ต่อยอดโซลูชั่นจากโครงสร้างที่มีได้ง่ายขึ้น

“คาดว่างบฯก้อนแรกในการพัฒนา LLM น่าจะมาต้นปีหน้า ขณะนี้อยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ มาเชื่อมระบบกัน จากนั้นจะจ้าง Expertise แต่ละสายมาจัดการข้อมูล เพื่อใช้เทรนโมเดล AI โครงการนี้เป็น Open Source เปิดรับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ผ่านมาเริ่มพูดคุยเรื่องการต่อยอดเป็น AI เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ หรือแม้แต่การเผยแผ่พระไตรปิฎก นิกายเถรวาทด้วย”