
แม้วันนี้จะมีการ “ปิดเกม” การตรวจสอบหมูเถื่อนจำนวน 161 ตู้ ปริมาณ 4 ล้านกิโลกรัม มูลค่า 450 ล้านบาท ที่ตกค้างอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบังมานานนับปี โดยเตรียมแผนที่จะทยอยนำหมูเถื่อนที่บรรจุกล่องไปทำลายซากด้วยการฝังกลบในพื้นที่ทหารในเขตอำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว แล้วก็ตาม แต่การตรวจจับหมูเถื่อนครั้งนี้ถือเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง เนื่องจากหมูเถื่อนเป็นปัญหาลักลอบนำเข้ามาอย่างยาวนาน สร้างความเสียหายให้กับผู้คนในอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของประเทศ
ปฐมเหตุของการเกิดกระบวนการหมูเถื่อน
การระบาดใหญ่ของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกรของประเทศไทย หรือ ASF มีร่องรอยการตรวจพบมาตั้งแต่ปี 2562 จากการระบาดบริเวณแนวชายแดนในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน จน ครม.ได้มีมติเห็นชอบ แผนเตรียมความพร้อมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกรของประเทศไทย
จัดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ มีการจัดงบประมาณในการดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคเร่งด่วน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 อันแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของโรคนี้ที่จะเข้ามาทำลายล้างอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2562 มาจนถึงปี 2564 ประชากรหมูในประเทศเริ่มล้มตายจากการติดต่อโรคระบาด โดยที่ กรมปศุสัตว์ ไม่ยอมรับว่า ได้เกิดการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในหมูขึ้นในพื้นที่เลี้ยงหมูภายในประเทศแล้ว แต่ออกข่าวว่า หมูที่ล้มตายลงไปติด โรคพีอาร์อาร์เอส (Porcine reproductive and respiratory syndrome) หรือเพิร์ส ส่งผลให้จำนวนหมูภายในประเทศลดลงจากการล้มตายอย่างต่อเนื่อง
จนเหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาถึงปี 2565 ในวันที่ 11 มกราคม 2565 อธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะประธานคณะทำงานด้านวิชาการป้องกัน ควบคุม และกำจัดโรค ASF (African swine fever virus) ในสุกร ได้ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่า พบการเกิดโรค ASF ในประเทศไทย จากผลการวิเคราะห์ตัวอย่างในเบื้องต้นจากจำนวนทั้งหมด 309 ตัวอย่าง พบผลวิเคราะห์เป็นลบจำนวน 308 ตัวอย่าง และพบผลบวกเชื้อ ASF จำนวน 1 ตัวอย่าง จากตัวอย่างพื้นผิวสัมผัสบริเวณโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่ง ที่มาจากจังหวัดนครปฐม
หลังจากนั้นก็มีรายงานข่าวหมูล้มตายจากโรค ASF ปรากฏออกมาอย่างเป็นทางการต่อเนื่องมาโดยตลอด
แล้วหมูกล่องก็เข้ามาตีตลาด
การระบาดของโรค ASF ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ มีผลทำให้อุตสาหกรรมหมูในประเทศก็ตกอยู่ในภาวะปั่นป่วน เนื่องจากปริมาณหมูในระบบหายไปกว่า 50% ส่งผลให้ราคาหมูหน้าเขียงในประเทศประกาศปรับราคาขึ้นมาหลายรอบ จาก 230 บาท เป็น 240 บาท/กก. ก่อนที่จะเข้าสู่เทศกาลตรุษจีนในปีนั้น
ปรากฏราคาหมูเนื้อแดงพีกสุด หรือใกล้ ๆ กับ 300 บาท/กก. สวนทางกับมาตรการขอความร่วมมือในการตรึงราคาหมูของกระทรวงพาณิชย์อย่างสิ้นเชิง โดยแรก ๆ ของกระบวนการนำเข้าหมูเถื่อนมีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมาทางด่านที่เป็นช่องทางธรรมชาติจำนวนมาก เช่น สระแก้ว, บุรีรัมย์, อุบลราชธานี, มุกดาหาร โดยเฉพาะด่านหนองคาย
ต่อมาก็มีการจับกุมหมูเถื่อนในลักษณะที่เป็นกล่อง ๆ หรือเรียกกันว่า หมูกล่อง ตามห้องเย็นที่รับฝากเก็บสินค้าตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ นครปฐม-หาดใหญ่ ก็พบปรากฏการณ์ หมูกล่อง มีทั้งการจับกุมได้ตอนบรรจุอยู่ในกล่องหรือแกะออกจากกล่องพร้อมที่จะส่งให้กับลูกค้าแล้ว โดยจะเห็นได้ว่า ต้นทางของหมูกล่องเหล่านี้ล้วนปรากฏประเทศต้นทางจากอเมริกาใต้
อาทิ บราซิล จนมีการคาดการณ์กันว่า ราคาหมูกล่อง ณ ประเทศต้นทาง จะต้องถูกมาก เมื่อบวกค่าเรือ-ค่าขนส่งมาถึงปลายทางที่ประเทศไทยแล้ว ยังสามารถตีตลาดสู้กับราคาหมูชำแหละในประเทศได้ อันเป็นผลมาจากภาวะการเลี้ยงหมูลดลง กลายเป็นช่องว่างให้ “หมูเถื่อน” สามารถแทรกตัวเข้ามาในตลาดภายในประเทศได้อย่างกว้างขวาง
จนผู้คนในวงการเลี้ยงหมูเคยประมาณการว่า กระบวนการหมูเถื่อนน่าจะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท
แต่ก็ไม่เคยมีการจับกุมหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาภายในประเทศได้เป็นจำนวนมาก ๆ จนมาเกิดเหตุการจับกุมหมูเถื่อนจำนวน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ในต้นเดือนกรกฎาคม 2566 หลังจากที่ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ร่วมกันตรวจสอบตู้สินค้าบรรจุสุกรแช่แข็งจำนวน 161 ตู้ ซึ่งสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังตรวจยึดไว้ก่อนหน้านี้
หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นหมูที่นำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ โดยพบการตรวจสอบจากการสำรวจของค้างบัญชีเรืออยู่ในอารักขาของศุลกากรเกินกำหนดเวลา 30 วัน ทางศุลกากรออกเอกสารบัญชีของค้างบัญชีเรือ (List A) โดยไม่มีใบขนสินค้าแจ้งไปยัง ตัวแทนเรือ และผู้รับตราส่งตามที่ระบุไว้ในบัญชีเรือ
จนครบกำหนดระยะเวลาก็ไม่ปรากฏว่า มีผู้ใดมาแสดงความเป็นเจ้าของ จึงเปิดสำรวจพบสินค้าประเภทสุกรแช่แข็ง เป็นการนำเข้าโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 อันเป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยงข้อจำกัดและเป็นของอันพึงต้องริบตามกฎหมายศุลกากร ผลการประเมินราคาสินค้าทั้งหมดมีมูลค่าราคารวมค่าภาษีอากรเป็นเงิน 460,105,947.38 บาท
ต่อมามีการปรากฏรายชื่อบริษัทที่เป็น “ชิปปิ้ง-ประกอบกิจการห้องเย็น” เกี่ยวข้องกับการนำเข้าหมูเถื่อนในลอตนี้ทั้งหมด 11 ราย ตามที่บริษัทสายการเดินเรือให้ข้อมูล ซึ่งในการตรวจสอบเบื้องลึก มีเพียงไม่กี่บริษัทที่ปรากฏชื่อของผู้ถือหุ้นที่อยู่ในแวดวงการค้าสุกรโดยตรง ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ไม่ได้ปรากฏชัดว่า อยู่ในแวดวงธุรกิจปศุสัตว์ โดยผู้คนในวงการอุตสาหกรรมสุกรชี้เป้าว่า
หลายบริษัทที่ไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นชัดเจนเหล่านั้นล้วนเป็น “นอมินี” ของผู้ผลิตสุกรครบวงจรบางราย บางรายเกี่ยวข้องกับโรงเชือด หรือเป็นโบรกเกอร์ค้าหมู รวมถึงมีเครือข่ายสัมพันธ์กับแวดวงทางการเมืองด้วย จนถึงกับกล่าวว่า เหตุการณ์หมูเถื่อน 161 ตู้นี้ ถือเป็นเรื่องที่ “คนในวงการหมู ฆ่าคนในวงการหมูด้วยกันเอง”
สงสัยสำแดงเท็จแจ้งหมูเป็นปลา
นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ในฐานะนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกร เขต 7 และนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า หมูเถื่อนที่ถูกจับได้จำนวน 161 ตู้ ที่แหลมฉบังนั้น คิดเป็นปริมาณหมูเพียงแค่ 4 ล้านกิโลกรัม หรือ “ถือว่าเล็กน้อยมาก” เมื่อเทียบกับข้อมูลตั้งแต่ปี 2564-2565 ที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติติดตามความเคลื่อนไหวมา
โดยมีข้อสันนิษฐานว่า มีขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนจากประเทศ บราซิล-ฝรั่้งเศส-สเปน-อาร์เจนตินา-ชิลี-เดนมาร์ก-เบลีซ (ประเทศในอเมริกากลาง) โดยสำแดงเท็จแจ้งพิกัดว่าเป็น “ปลา” เพิ่มขึ้นสูงจนผิดปกติ เพราะปกติเมื่อย้อนกลับไปดูการนำเข้าปลาในช่วง 10 ปี ในภาวะปกตินำเข้าเฉลี่ย 1,000-2,000 ล้านบาทเท่านั้น อยู่ ๆ ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อไม่ดี การท่องเที่ยวยังไม่ดี แต่ประเทศไทยกลับมียอดนำเข้าปลาเพิ่มสูงขึ้น อย่างผิดปกติมาก ๆ
โดยจะเห็นได้จากสถิติของกรมศุลกากร ปรากฏมีการนำเข้าปลาแช่แข็ง HS Code 0303 ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เป็นการนำเข้าหมูเถื่อนแล้วนำมาสำแดงเท็จเป็นปลาตั้งแต่ปี 2564 จะเห็นว่า มียอดการนำเข้าปลาอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ 2,766,889,493 บาท ปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 6,913,737,916 บาท ทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงโควิด เศรษฐกิจไม่ดี แต่ยอดการนำเข้าปลาพุ่งกระฉูดถึง 4,500 ล้านบาท
หากคิดที่ราคาหมู 100 บาทต่อ กก. เท่ากับเป็นปริมาณหมูที่นำเข้า 40,000 กว่าตัน ดังนั้นส่วนที่จับหมูเถื่อนบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ 161 ตู้ ที่แหลมฉบัง จึงเทียบได้ว่าเป็นเพียง 10% เพราะจับกุมได้เพียง 4 ล้านกิโลกรัมเท่านั้น ส่วนหมูเถื่อนที่เกิดจากการสำแดงเท็จ หากมีจริงคิดจากยอดที่สำแดงเป็นปลาอีก 90% “มันหายไปไหน” ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ กรมศุลกากรบอกสาเหตุที่ตู้ดังกล่าวอาจจะผ่านการตรวจออกไปได้ก็เพราะ ใช้วิธีการสุ่มตรวจ 100 ตู้ อาจจะตรวจตู้เดียวจึง “ไม่พบว่าเป็นหมู”
ดังนั้น หมูเถื่อนจำนวนมากที่ออกมาตีตลาดอยู่ในขณะนี้ จึงส่งผลให้ราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มราคายังดิ่งลงต่อเนื่อง อยู่ที่ประมาณ 62 บาทต่อ กก. ขณะที่ราคาต้นทุนอยู่ที่ 80-90 บาทแล้ว แต่ผู้เลี้ยงรายเล็ก รายใหญ่ ต้นทุนต่างกัน ประกอบกับปัจจุบันผู้เลี้ยงรายใหญ่ภายในประเทศได้ขยายการเลี้ยงเพิ่มขึ้นมาก ยิ่งเป็น 2 ปัจจัยที่ดึงราคาหมูขยับขึ้นไม่ได้
จี้ กทท.ลุยเช็กตู้ค้างคลองเตยต่อ
ด้านนายสัตวแพทย์วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของผู้เลี้ยงที่ร่วมเป็นคณะทำงานตรวจสอบหมูเถื่อนตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่า หลังการตรวจสอบหมู 161 ตู้ ที่่ท่าเรือแหลมฉบังจบแล้ว ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรได้ประสานกับ นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ดำเนิน “โครงการท่าเรือสีขาว”
ซึ่งคณะกรรมการประกอบด้วย กทท. ตำรวจ ภาค 2 ทหารเรือ ศุลกากร เพื่อให้ทำการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างที่ต้องสงสัยในท่าเรือคลองเตย ท่าเรือปากน้ำระนอง และท่าเรือสงขลา ภายในสัปดาห์หน้า รวมถึงได้ประชุมร่วมกับกรมปศุสัตว์ ให้ทำงานเชิงรุกในการตรวจห้องเย็นต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้กรมปศุสัตว์ก็ทำอยู่ แต่คงต้องเข้มข้นขึ้น เพราะหมูเถื่อนยังคงมีขายกันอยู่ รวมถึงการเปิดขายในตลาดออนไลน์ จนทำให้ฉุดราคาหมูภายในประเทศไม่สามารถปรับขึ้นมาได้