‘รศ.ชูโชค อายุพงศ์’ ฝ่าเพนพอยต์ แก้น้ำท่วมเชียงใหม่

chuckok
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

เหตุการณ์น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ช่วงเดือนตุลาคม 2567 นับเป็นมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่สร้างความเสียหายต่อมิติด้านเศรษฐกิจและสังคมราว 5,000 ล้านบาท ล่าสุด ค้นพบ 2 อุปสรรค (Pain Points) ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “รศ.ชูโชค อายุพงศ์” หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คีย์แมนคนสำคัญในการทำแผนแก้น้ำท่วมเชียงใหม่นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.สัญจร ที่เชียงใหม่ โดยของบประมาณ 171 ล้านบาท เพื่อฝ่าเพนพอยต์แก้น้ำท่วมเชียงใหม่ในอนาคต

ชงแผนแก้น้ำท่วมเชียงใหม่

รศ.ชูโชคบอกว่า ในฐานะเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่หลายสมัย เป็นคณะกรรมการลุ่มน้ำปิง เป็นกรรมการลุ่มน้ำระดับจังหวัด และเป็นคณะกรรมการป้องกันน้ำท่วมเชียงใหม่ ซึ่งแผนแก้น้ำท่วมเชียงใหม่ค่อนข้างชัดเจนมากในตอนนี้ ทำแล้วต้องสำเร็จ

น้ำท่วมเชียงใหม่รอบนี้ปริมาณฝนไม่ได้มากกว่าที่เคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในอดีต แต่สภาพปัจจุบันประสิทธิภาพของการระบายน้ำในแม่น้ำปิงลดลง ที่เห็นชัดเจนคือ หน้าตัดในลำน้ำเล็กลง เนื่องจากมีปริมาณตะกอนที่ไม่เคยมีการขุดลอกมามากกว่า 10 ปี ทำให้ระดับตะกอนทับถมอยู่ที่ท้องน้ำไม่น้อยกว่า 2 เมตร

ซึ่งแน่นอนเมื่อช่องน้ำเล็กลง การที่น้ำจะไหลผ่านได้ ประกอบด้วย ความเร็วและหน้าตัด เมื่อหน้าตัดเล็กลง จึงทำให้อัตราการไหลน้อยลง เวลามีอัตราการไหลวิ่งเข้ามาจากน้ำหลาก น้ำก็จะยกตัวขึ้นท่วมได้มากกว่าเดิม

สุดท้ายเหลือทางเลือกคือ จะทำอย่างไรให้น้ำแม่น้ำปิงสามารถระบายได้มากขึ้น มี 2 วิธี 1.ทำให้หน้าตัดลึกไปข้างล่างด้วยการขุดลอก-ขุดขยาย เพื่อให้ลึกขึ้นและกว้างขึ้น เพื่อให้มีช่องว่างมากขึ้น เอาสิ่งกีดขวางทางน้ำออก น้ำจะไหลได้มากขึ้น ทั้งนี้ แม่น้ำปิงในอดีตมีความกว้างเกือบ 200 เมตร

ADVERTISMENT

ปัจจุบันบางจุดกว้างแค่ 60-80 เมตรเท่านั้น เพราะมีการรุกล้ำลำน้ำเข้ามามาก จากข้อมูลของกรมที่ดินพบว่า ที่ดิน 2 ฝั่งลำน้ำปิงไม่มีเอกสารสิทธิ เป็นที่ดินที่อยู่มานานและถือครองมานานเท่านั้น ดังนั้นมีโอกาสที่จะขุดขยายได้ในอนาคต

ขณะที่การทำพนังกั้นน้ำยกสูงขึ้นมาจากตลิ่ง ไม่เหมาะสำหรับเชียงใหม่ ด้วยเพราะเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว จะกระทบต่อทัศนียภาพ เรามองว่าแม้ทำพนัง น้ำก็สามารถข้ามขึ้นไปได้เหมือนกัน หากฝนตกหนักและน้ำมาปริมาณมาก

ADVERTISMENT

แก้ 2 เพนพอยต์ต้นเหตุน้ำท่วม

รศ.ชูโชคกล่าวว่า เพนพอยต์ที่ทำให้น้ำท่วมเชียงใหม่ คือ 1.ประสิทธิภาพของการระบายน้ำในแม่น้ำปิงลดลง 2.ฝายหินทิ้ง 3 จุดในลำน้ำปิงทำให้น้ำยกสูงขึ้นเมื่อมีน้ำหลาก ซึ่งประเด็นแรก การขุดลอก ขุดขยาย และเอาสิ่งที่ขวางทางน้ำ (ตะกอน) ในลำน้ำปิง

โดยเฉพาะในเขตเมืองออกไปให้หมด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของน้ำได้เป็นอย่างดี ขุดลึกลงไป 2 เมตร ความกว้างของการขุดลอก 60 เมตร ความลึกของน้ำจะอยู่ที่ 5 เมตรกว่า จะขุดให้เอียงไปเรื่อย ๆ จากต้นน้ำไปถึงท้ายน้ำ ก็จะได้พื้นที่ของแม่น้ำกลับมา คาดว่าตะกอนจะมีปริมาณมากถึง 1,700,000 ลบ.ม. เฉพาะในเขตเมืองมีราว 1,200,000 ลบ.ม. (ระยะ 20 กิโลเมตร)

ประเด็นที่สอง ฝายหินทิ้งพญาคำ, ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล เป็นโครงสร้างสำคัญที่ค้างอยู่ในลำน้ำปิง ก็เป็นฝายหินที่สูงประมาณ 2 เมตรกว่า ซึ่งฝายนี้ทำให้น้ำยกสูงขึ้น ในทางทฤษฎีด้านน้ำ ฝายหินแบบนี้น้ำจะยกขึ้นตามความสูงของฝาย ถ้ามีฝายอยู่จะทำให้น้ำเพิ่มขึ้นเป็น 2 เมตร เมื่อมีน้ำหลากมา และทำให้น้ำขึ้นไปสูงสุดถึง 5.3 เมตร เชื่อว่าถ้าไม่มีฝาย 3 ตัวนี้ น้ำท่วมครั้งนี้จะลงมาอยู่ที่ 4 เมตรกว่า ๆ ก็จะเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมได้

ระยะทางการขุดลอกแม่น้ำปิงทั้งหมดราว 41 กิโลเมตร เป็นโครงการระยะเร่งด่วน ในเขตตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร ขุดลงไปลึก 2 เมตร จะทำให้ช่องทางใหญ่ขึ้น คาดการณ์ว่าจะระบายน้ำได้มากขึ้นถึง 200 ลบ.ม./วินาที เน้นการขุดลอกเชิงลึก

น้ำท่วมเชียงใหม่

โดยขุดลงไปที่ท้องน้ำก่อน เพราะท้องน้ำตื้นมาก เป็นจุดที่ทำให้ตะกอนสะสมอยู่มาก ทั้งนี้ หากขุดลอกไปแล้วแต่ไม่ได้ทำการปรับปรุงฝาย หรือไม่ได้ทำให้ฝายเตี้ยลง หรือไม่ได้ทำให้ฝายหายไป ก็ไม่ช่วยประโยชน์อะไร ดังนั้นต้องทำคู่ขนานกันทั้ง 2 ส่วน คือ ขุดลอก-ขุดขยาย และปรับปรุงฝายไปพร้อม ๆ กัน

“เรื่องปรับปรุงฝาย เราได้คุยกับชาวบ้านมาแล้ว ได้เจรจากับผู้ใช้น้ำ ทุกคนตอบรับดีมาก เป็นในทิศทางบวก ไม่ขัดข้องเพราะรู้ว่าฝายเป็นต้นเหตุ ซึ่งปีนี้ชาวบ้านได้รับความเสียหายมาก แต่ชาวบ้านห่วงว่าในช่วงหน้าแล้งจะไม่มีน้ำใช้ทางการเกษตร ซึ่งเรายืนยันและการันตีว่า ประตูระบายน้ำท่าวังตาลสามารถทดน้ำให้ชาวบ้านได้แน่นอน

โดยผู้ใช้น้ำทั้ง 3 ฝาย เห็นด้วยและยินดีที่จะให้ปรับปรุงฝายทั้ง 3 จุด เพราะถ้าไม่ทำให้ฝายเตี้ยลงไปจากเดิมหรือเอาฝายออกไป น้ำจะท่วมอีกแน่นอน แม้จะขุดลอกน้ำปิงแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ในหลักวิชาการ ถ้าขุดลำน้ำลึกแค่ไหน หากมีฝายที่สูงค้ำอยู่ น้ำก็ท่วม น้ำจะยกตัวขึ้นถึง 2 เมตร เพราะน้ำที่หลากมาจะข้ามฝายขึ้นมาได้”

ดีเฟนด์งบฯ 171 ล.ครม.สัญจร

รศ.ชูโชคกล่าวว่า ล่าสุดจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานและสรุปว่าจะดำเนินการระยะเร่งด่วนก่อนน้ำมาในรอบหน้าอยู่ 2 เรื่อง โดยมาตรการ 2 เรื่องที่เราขอ ครม.สัญจรที่เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 คือ 1.การขุดลอก-ขุดขยายแม่น้ำปิง โดยกรมเจ้าท่าเป็นผู้รับผิดชอบ 2.การปรับปรุงฝาย ว่าจะเอาลงระดับไหนที่จะเหมาะสม หรือถ้าไม่เอาฝายออก สิ่งที่เราจะสู้กับน้ำท่วมรอบหน้าจะไม่มีเลยและเสี่ยงมาก

โดยเราของบประมาณจาก ครม.สัญจร ไปทั้งสิ้น 171 ล้านบาท เพื่อนำมาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ที่น้ำขึ้นมาระดับ 5.3 เมตร เพราะลำน้ำปิงมีตะกอนเป็นจำนวนมาก และตื้นมาก ดังนั้น ความสามารถในการรับน้ำที่มีอยู่เพียง 300-400 ลบ.ม./วินาที แต่เมื่อน้ำหลากมา 500-600 ลบ.ม. ไม่มีทางสู้ได้ ถ้าไม่มีอะไรกีดขวาง ตะกอนจะไหลไปได้ ฝายทำให้ตะกอนไม่สามารถไหลผ่านไปได้ การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อไม่ให้เสียงบประมาณย่อย ต้องแก้ในลำน้ำ ด้วยการขุดลอก ปรับปรุงสภาพฝาย 3 ตัว

ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการรับน้ำเพิ่มได้อีก 300 ลบ.ม. เราจะสามารถรับน้ำได้ถึง 700-800 ลบ.ม. ถ้าปีหน้า (2568) น้ำหลากมาและขึ้นไป 4.3 เมตร เราก็พอสู้ได้ จะเสียหายไม่มาก คราวหน้าถ้าน้ำมาเท่าเดิม 800 ลบ.ม. น้ำอาจจะขึ้นแค่ 4.3 เมตร แทนที่จะเป็น 5.3 เมตร เพราะฝายหายไป ทำให้น้ำไหลอยู่ในลำน้ำแทน ตามหลักชลศาสตร์

“เป้าหมายจังหวัด หน่วยงานทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องยอมรับในคอนเซ็ปต์นี้ โดยผมได้มีโอกาสนำเสนอคอนเซ็ปต์นี้ให้ ครม.สัญจร เชียงใหม่ และ ครม.เห็นชอบและรับในหลักการที่จะให้งบประมาณ 171 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนแค่ 10% ของงบฯที่เสียไปกับการเยียวยาชดเชยที่ผ่านมา เป็นโครงการในระยะสั้นเร่งด่วน ที่ทำได้ทันทีถ้างบประมาณมาเร็ว คาดว่าจะเริ่มขุดลอกราวเดือนมกราคม 2568 ใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน ทุกอย่างเสร็จ ปีหน้าประชาชนจะอุ่นใจระดับหนึ่ง ส่วนการขุดขยายค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายในการดำเนินการรุกล้ำลำน้ำ แต่ต้องทำ จะแก้อะไร ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แก้ปลายเหตุ ถ้าไม่ทำ ปีหน้าจะเสียงบประมาณในการชดเชยเยียวยาอีกเป็นพันล้านบาท”

น้ำท่วมเชียงใหม่

สำหรับการขุดลอกเอาตะกอนออกมามีหลักการคือ ห้ามนำตะกอนมาโปะไว้ริมฝั่งแม่น้ำปิง ต้องขนออกไปทิ้งข้างนอก ตอนนี้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว โดยหาจุดทิ้งดินเป็นที่ราชพัสดุหลายร้อยไร่ ตลอดสองฝั่งแม่น้ำปิง ตลอดลำน้ำเรากำหนดจุดขึ้นดินหลายจุด และจุดทิ้งหลาย ๆ จุด ซึ่งที่ทิ้งดินเป็นที่หลวงทั้งหมด ถ้าได้งบประมาณมาก็ทำทันที เราจะกันการทุจริต ทั้งค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คิดได้หมด ดินต้องเช็กว่ามีกี่คิว ไม่อย่างนั้นอาจติดคุกกันเลย

ทั้งนี้ หลังจากที่ทำเรื่องขุดลอกและปรับปรุงฝาย 3 จุด เสร็จแล้ว จังหวัดเชียงใหม่จะตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการดูเรื่องการรุกล้ำลำน้ำ ตรงไหนที่ล้ำเข้ามา หน่วยงานบางที่ ร้านอาหาร บ้านเรือนประชาชน 2 ฝั่งน้ำปิงที่รุกล้ำเข้ามา ไม่มีเอกสารสิทธิเลย มีเฉพาะเขตตลิ่งตัวเอง เป็นเรื่องใหญ่ แต่ต้องจริงจังเคร่งครัด เน้นเอาจุดสำคัญ ๆ ก่อนเป็นระยะกลางที่จะทำต่อไป

รศ.ชูโชคกล่าวต่อว่า น้ำท่วมเชียงใหม่ครั้งนี้ รัฐบาลเสียค่าชดเชย หลังละ 9,000 บาทไปแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 800 ล้านบาท และยังมีที่ยังค้างท่ออยู่ นอกจากนี้ยังมีค่าชดเชยเรื่องล้างโคลน ประมาณ 500 ล้านบาท ชดเชยค่าอื่น ๆ อีก 200 ล้านบาท รวมเงินที่รัฐบาลจ่ายค่าชดเชยครั้งนี้ไปแล้วราว 1,500 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าเก็บขยะ รวมแล้วเฉพาะชดเชยเยียวยาประมาณ 1,700 ล้านบาท

ยังไม่นับรวมความเสียหายของชาวบ้านจริง ๆ บางหลังเสียหายนับแสนบาท เมื่อประเมินความเสียหายทั้งหมดของเชียงใหม่ คาดว่าอยู่ที่ราว 5,000 ล้านบาท

บ้านจัดสรรอำเภอสารภีเสี่ยงปรับโฉมผังเมืองใหม่ ชู Soft Scape

ภาพน้ำท่วมหมู่บ้านจัดสรร ราคาหลายล้านบาท ในพื้นที่ อ.สารภี จ.เชียงใหม่ หลายโครงการตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 หลายบ้านต้องอพยพผู้สูงวัย และเด็กออกจากบ้านกันอย่างลำบากนั้น “รศ.ชูโชค อายุพงศ์” หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า โซนอำเภอสารภีเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งบ้านจัดสรรขยายตัวออกไปมากในโซนนี้ กลายเป็นพื้นที่เมือง น้ำที่ท่วมไม่ได้เกิดจากแม่น้ำปิงทะลักข้ามขึ้นมา

แต่เกิดจากน้ำในตัวเมืองที่ท่วมฝั่งตะวันออก-หนองหอย พอท่วมในเมืองก็จะไหลลงไปข้างล่าง เส้นทางรถไฟ ถนนวงแหวนรอบสอง-รอบสาม สารภี ลำพูน ถ้าน้ำขึ้นมามาก แบบนี้ยังไงก็ต้องไหลลงไปด้านล่าง บ้านจัดสรรก็ท่วมอยู่ดี ถ้าแก้ต้นเหตุได้จะช่วยได้หมด หรือบรรเทาเบาบางลงได้ บ้านจัดสรรถมสูงยังไงก็ไม่ได้ ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ

บ้านจัดสรรที่ท่วมมากแถวหนองแฝก หนองผึ้ง เป็นพื้นที่ต่ำก็ต้องยอมรับว่าเป็นพื้นที่เสี่ยง พื้นที่บ้านจัดสรรโซนนี้รับน้ำจากถนนวงแหวนรอบสอง-รอบสาม แม้จะทำพนังกั้นน้ำก็ไม่ช่วย ยังไงน้ำผุดขึ้นมาได้ การเตรียมความพร้อมอพยพและเชื่อการพยากรณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากและปฏิเสธไม่ได้ แต่ถ้าเราแก้ต้นเหตุได้ทั้งการขุดลอก-ปรับปรุงฝาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ก็จะสามารถบรรเทาปัญหาได้ ถ้าน้ำมามาก อาจจะท่วมในโซนพื้นที่นี้ แต่จะไม่หนักเท่าปีนี้ (5.30 เมตร) ซึ่งถือเป็นสถานการณ์กรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst Case Scenario) ของเชียงใหม่

รศ.ชูโชคกล่าวอีกว่า อีกประการสำคัญที่เชียงใหม่ต้องทำเป็นแผนระยะยาว คือ การจัดการผังเมืองให้ดี ทำพื้นที่ในเมืองให้เป็นพื้นที่ซับน้ำได้ ทำโครงสร้างที่พรุนมากขึ้น หรืออาจทำพนังกั้นน้ำที่ถอดเก็บได้ ไม่ควรทำพนังที่เป็นโครงสร้างคอนกรีตหรือโครงสร้างดาด

ซึ่งหน่วยงานรัฐต้องการทำโครงสร้างแบบถาวร เพราะไม่ต้องมาบำรุงรักษา ได้งบประมาณก่อสร้างมาก แต่โครงสร้างแบบนี้ไม่เหมาะกับเมืองเชียงใหม่ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว

น้ำท่วมเชียงใหม่

เชียงใหม่ต้องจัดการผังเมืองให้ดีกว่าเดิม ให้รองรับกับการจัดการเรื่องภัยพิบัติ ระบบระบายน้ำต้องปรับปรุงใหม่ ต้องจัดการลำน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำและตามท่อต่าง ๆ สาธารณูปโภคที่จะทำอยู่ในระบบผังเมือง ต้องเป็นสาธารณูปโภคที่ทำแล้วไม่สร้างปัญหา การปรับปรุงลำน้ำ คูคลองในเมือง ให้เน้น Soft Scape จะต้องไม่มีดาดคอนกรีต ด้านบนต้องเห็นเป็นหญ้าที่มีความซอฟต์ เป็นพื้นที่ซับน้ำได้ ต้องเน้นพื้นที่เปิดให้เห็นความเขียวความซอฟต์มากขึ้น สร้างพื้นที่เขียว พักผ่อนสันทนาการเข้าไปในสาธารณูปโภคสำคัญ

เช่น ถนนเส้นใหม่ หัวท้ายอาจทำเป็นสวนสาธารณะ เน้นให้โครงสร้างทุกอย่างตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่ต้องเน้นตอบโจทย์ด้านท่องเที่ยวและนันทนาการด้วย ทำให้ชาวบ้านทำตลาดนัดได้ ออกกำลังกายได้ ทำให้โครงสร้างมีความพรุนมากขึ้น ถนนทุกเส้นต้องมีความยืดหยุ่น แพงขึ้นแต่คุ้มค่ากับเมืองท่องเที่ยว เป็นยุทธศาสตร์จังหวัดที่กำลังจะปรับใหม่ ความเป็นเมืองต้องแข่งเรื่องความเป็นเมืองน่าอยู่ ถนนเดินได้

แผนระยะยาวในการทำแก้มลิงยักษ์ หรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เพื่อดักน้ำไว้ตอนบน ซึ่งปัจจุบันโอกาสที่ทำได้มีค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากพื้นที่จำกัด สภาพแวดล้อม และแรงต่อต้านก็มีมาก หรือแม้แต่การทำทางระบายน้ำ (Floodway) เนื่องจากเชียงใหม่เป็นพื้นที่ลาดชันสูง โอกาสที่จะทำยากเช่นกัน เพราะพื้นที่ไม่มีให้ทำ

“ถ้าปีหน้าน้ำมาเท่าปีนี้ และผมทำโครงการนี้ได้ทัน เชื่อว่ารับมือได้ และน้ำจะลดลงมาก งบประมาณ 171 ล้านต้องมาอย่างเร็วสุดคือ เดือนมกราคม 2568 หรือช้าสุด เดือนกุมภาพันธ์ 2568 แต่ถ้างบประมาณยังไม่มาและไม่ได้ทำโครงการนี้ ก็เสร็จ น้ำจะท่วมเมืองเชียงใหม่ 5.3 เมตรเหมือนเดิม และเมื่อถึงเวลานั้นไม่มีใครรับผิดชอบไหวแล้ว ตอนนี้เราเตรียมพร้อมทุกอย่าง วันนี้ผมโยนทุกอย่างไปให้รัฐบาลแล้ว จังหวัดเราทำเต็มที่แล้ว เรามีทุกอย่างพร้อม แต่ยังไม่มีปืนจะยิงเท่านั้นเอง” รศ.ชูโชคกล่าวทิ้งท้าย