‘ซีอาร์ซี’ รับเทรนด์สุขภาพ ชูท็อปส์แคร์บุกร้านขายยา

ซีอาร์ซี ย้ำแผน CRC Retailligence ทุ่ม 1.8-2 หมื่นล้าน เร่งเครื่อง omni retail เดินหน้าขยายสาขาเพิ่ม 2-3 เท่า หลังวิกฤตโควิดคลี่คลาย พร้อมส่ง 2 โมเดลใหม่ Tops Vita ร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพและวิตามิน Tops Care บุกร้านขายยา รับเทรนด์สุขภาพและความงามมาแรง ประกาศลุยหนักทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ วางเป้าโกยยอดโต 15-20%

นายไท จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวในงาน Opportunity Day เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมาว่า

แม้ปีนี้จะต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ และต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น แต่โดยส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกบริษัทจะต้องเจอตามสภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่เรื่องปัญหาน้ำมัน

และสงครามรัสเซีย-ยูเครน มองว่าส่งผลกระทบ 2 ด้าน ได้แก่ ด้านต้นทุนการขนส่ง โดยในส่วนของบริษัทเองมีสัดส่วนต้นทุนในด้านนี้ต่ำกว่า 1% จึงไม่กระทบต่อการบริหารจัดการมากนัก แต่หากปัญหายืดเยื้อระยะยาว บริษัทก็เริ่มมองหารถไฟฟ้า EV มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนที่อาจจะตามมา

นอกจากนี้ยังมีแผนการนำพลังงานโซลาร์เซลล์มาใช้ในการลดต้นทุน โดยมีการนำร่องไปแล้วที่โรบินสันบางสาขา เพื่อแก้ปัญหาต้นทุน อย่างไรก็ดี แม้จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ

แต่พบว่ายอดขายใน 2 เดือนแรกของซีอาร์ซี ยังคงเป็นบวกอยู่ ทำให้เชื่อว่าภาพรวมไตรมาส 1/65 จะยังเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง แม้จะมีการระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่ไปบ้าง

“ช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. โมเมนตัมในตลาดเริ่มดีขึ้น เนื่องจากประชาชนและธุรกิจมีการปรับตัวจากโอมิครอนได้ และแม้จะมีวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน แต่โดยส่วนตัวยังมองบวกอยู่ โดยในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีทราฟฟิก 85% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ”

สำหรับแผนงานหลักในปี 2565 นี้ บริษัทยังคงดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์สร้าง CRC Retailligence เพื่อพร้อมเติมเต็มทุกประสบการณ์ให้กับลูกค้าแบบไร้พรมแดน และไร้ขีดจำกัด มีแผนใช้เงินลงทุนราว 1.8-2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณการขยายสาขาใหม่ 40%

ซึ่งปีนี้บริษัทจะโฟกัสการขยายสาขารวมร้านทุกประเภทเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า จากปกติที่ขยาย 150-200 สาขาต่อปี หลังจากปีก่อนที่ต้องดีเลย์แผนออกไป เหตุผลกระทบโควิด-19

และจะใช้งบประมาณในการรีโนเวตสาขาเดิม 30%, ลงทุนฟอร์แมตใหม่ที่บริษัทมองว่ามีศักยภาพในการเติบโต 15% และการพัฒนาระบบออนไลน์โดยเฉพาะการพัฒนาระบบ omni channel ให้มีประสิทธิภาพรอบด้านและครอบคลุมมากขึ้นอีก 10% เพื่อผลักดันสัดส่วนยอดขายออนไลน์เพิ่มเป็น 25% ในสิ้นปี 2565 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 20%

“ปีนี้เราเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ผ่านมาต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิดทำให้ต้องล่าช้าไปบ้าง ตลอดจนการเร่งเปิดร้าน go! WoW ขายสินค้าเบ็ดเตล็ด เพิ่มอีก 60 สาขา และ go! Power ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า

เพิ่มอีก 30 สาขา นอกจากนี้ยังมีแผนขยายเข้าไปในธุรกิจในกลุ่มการดูแลสุขภาพ และความงาม (health & wellness) ด้วยการเปิดตัวโมเดลใหม่ Tops Vita ร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพและวิตามิน

และ Tops Care รุกธุรกิจร้านขายยา ในรูปแบบทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยในอีก 3 เดือนข้างหน้ามีแผนขยายเข้าไปในช่องทางออนไลน์ ก่อนจะขยายเพิ่มในช่องทางออฟไลน์อีก 16-18 แห่งภายในปีนี้

“ในขาของธุรกิจเฮลท์แคร์ เราไม่ใช่รายใหม่ ที่ผ่านมามีการทยอยนำร่องและวางจำหน่ายสินค้าสุขภาพมาบ้างแล้ว ซึ่งแผนงานการขยายในกลุ่มธุรกิจสุขภาพและความงาม มองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันการเติบโตมากขึ้น จากปัจจุบันที่บริษัทมีรายได้มาจากกลุ่มนี้ราว 5,000 ล้านบาท”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินกล่าวต่อไปว่า พร้อมกันนี้ บริษัทมีแผนนำ บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MEB ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม e-Book ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน)

หรือ COL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในปลายปี 2565 เป็นการระดมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตให้บริษัท

อย่างไรก็ตาม บริษัทวางเป้าหมายเติบโตในสิ้นปี’65 ไว้ที่ 15-20% และมีรายได้เพิ่ม 20% จากปีก่อนมีรายได้ 195,653.81 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของยอดขายสินค้าแฟชั่นเป็นหลัก

และการขยายสาขาจากธุรกิจฮาร์ดไลน์ (hardline) โดยเฉพาะร้านไทวัสดุ ที่จะเปิดสาขาใหม่อีก 10 แห่งในปีนี้เพิ่มเติมอีกด้วย โดยวางเป้าหมายขึ้นแท่นผู้นำเบอร์ 1 ในค้าปลีกแบบ omni retial ในปี 2569