CBG กางแผนขยายอาณาจักรค้าปลีก CJ-ถูกดี

เสถียร เศรษฐสิทธิ์
เสถียร เศรษฐสิทธิ์

สปีดถูกดีปีละหมื่นสาขา ลุ้นปี ’66 พลิกมีกำไร ทดลองเปิดขายเชื่อเสริมสภาพคล่อง ด้าน CJ Express ฟื้นแผนเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 4 ปีหน้า หวังระดมทุน 2 หมื่นล้าน พร้อมลงทุน 2.4 หมื่นล้าน ผุด 8 คลังสินค้า หนุนขยายสาขา

วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด กล่าวถึงทิศทางธุรกิจค้าปลีกในเครือ เช่นร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” “ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต” และ”ซีเจ มอลล์” ว่า บริษัทจะเดินหน้าผลักดันค้าปลีกทั้ง 2 แบรนด์ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาและการเสริมฟังก์ชั่นใหม่ๆ ให้ร้านเพื่อเป็นเครื่องมือสร้างรายได้และชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน

ทดลอง “ขายเชื่อ” เสริมสภาพคล่อง

สำหรับ “ถูกดี มีมาตรฐาน” ซึ่งมีคอนเซปท์เป็นร้านโชห่วยสมัยใหม่นั้น ส.ค.นี้จะเริ่มทดลองระบบ “ขายเชื่อ” หรือการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าในการซื้อสินค้าในร้านวงเงินประมาณ 500-1,000 บาท/ราย รวมไม่เกิน 2 แสนบาท/ร้าน เพื่อเสริมสภาพคล่องผู้บริโภคและกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน รวมถึงเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการ รับมือปัญหาเศรษฐกิจ-กำลังซื้อในปัจจุบัน

อาศัยการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยตั้งบริษัทร่วมทุน “กสิกร คาราบาว จำกัด” หรือ KBAO เข้ามาให้บริการสินเชื่อแบบดิจิทัล รวมกับข้อมูลฐานสมาชิกร้านที่ปัจจุบันมีกว่า 3 แสนราย โดยจะทดลองเฟสแรกใน 100 ร้านค้า เพื่อประเมินผลตอบรับและการรับมือความเสี่ยงที่เหมาะสม

พร้อมเพิ่มฟังก์ชั่น พรีออร์เดอร์สินค้า ที่เป็นการสั่งสินค้าในแคตตาล็อกผ่านหน้าร้าน เพื่อให้ขยายไลน์อัพสินค้าในแต่ละร้านเป็นกว่า 2 หมื่นเอสเคยูจากหลากหลายกลุ่ม เช่น วัสดุก่อสร้างจากเครือปูนซีเมนต์ไทย เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์การเกษตร เป็นต้น

ADVERTISMENT

โดยจะใช้การจัดส่งสินค้าด้วยรถขนส่งของบริษัทที่วิ่งกระจายสินค้าให้แต่ละร้านอยู่แล้ว ช่วยให้ได้ต้นทุนค่าขนส่งที่แข่งขันได้และมีรอบการส่งที่แน่นอน ทั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนรับมือการแข่งขันกับอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้อนาคตอาจเพิ่มบริการอื่นๆ เข้ามาอีก อาทิ บริการทางการแพทย์ บริการภาครัฐ รับส่งพัสดุ และจุดกระจายสินค้าให้เอสเอ็มอีหรือสินค้าเกษตร ฯลฯ โดยขณะนี้มีโรงพยาบาลและบริษัทขนส่งหลายแห่งเข้ามาเจรจาแล้ว

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกันจะสปีดการขยายสาขาจากปัจจุบันที่มีกว่า 5,000 ร้านให้ครบ 10,000 ร้านในสิ้นปีนี้ และเพิ่มเป็น 20,000 และ 30,000 ร้านในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ หลังยกเลิกข้อจำกัดที่รับเฉพาะผู้ประกอบการโชห่วยเดิม เป็นเปิดรับนักลงทุนทั่วไป ทำให้ขณะนี้มีผู้สมัครกว่า 2,000 รายต่อเดือน

ทั้งนี้คาดว่าการขยายสาขาและเพิ่มบริการใหม่ จะทำให้ปี 2565 มีรายได้ 2 หมื่นล้านบาท และเริ่มพลิกกลับมามีกำไร หลังจากปี 2564 ที่มีรายได้ 5,800 ล้านบาท ส่วนปี 2566 อาจมีรายได้ถึง 6-7 หมื่นล้านบาท

ดัน CJ Express Group เข้าตลาดไตรมาส 4 ปี ’66

ด้านเชนค้าปลีก CJ Express Group นั้น จะฟื้นแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง โดยจะยื่นไฟลิ่งในไตรมาส 2 ปี 2566 และคาดว่าจะไอพีโอได้ในไตรมาส 4 ของปีเดียวกัน ในมูลค่าประมาณ 2-2.5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ประเมินจากมูลค่า 20% ของมาร์เก็ตแคปของบริษัทในขณะนั้นที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท

“เดิมมีแผนเข้าตลาดในปีนี้แต่ต้องเลื่อนออกไปเพราะตลาดและวงการธุรกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19”

ระหว่างนี้จะโฟกัสการขยายสาขา “CJ More” ที่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ประกอบด้วย CJ Supermarket และพื้นที่เช่า หลังที่ผ่านมา สาขา CJ Supermarket ใน CJ More มียอดขายดีกว่าสาขาสแตนอโลน 30-50% หลังเริ่มมีร้านอาหารแม็กเน็ตเข้ามาเช่าพื้นที่

โดยสิ้นปี 2565 นี้จะมีครบ 100 สาขา จากปัจจุบันมีประมาณ 10 สาขา และจะพยายามขยายเพิ่ม 100 สาขา/ปี จนครบ 500 สาขาในปี 2569

ส่วน CJ Supermarket กำลังศึกษาการเพิ่มระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” หรือ Buy now Pay later ซึ่งจะอาศัยความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เช่นกัน รวมถึงเดินหน้าขยายสาขา 250 สาขา ในปีนี้เพื่อให้ครบ 1,000 สาขาและขยายเพิ่มอีก 250 สาขาในปี 2566 อย่างไรก็ตามยังไม่มีแผนเปิดแฟรนไชส์ เนื่องจากบริษัทยังขาดความชำนาญ และการบริหารสินค้าค่อนข้างซับซ้อนกว่าค้าปลีกทั่วไป

จากการแผนเร่งขยายสาขานี้จะทำให้ปี 2569 CJ More มี 500 สาขาและ CJ Supermarket มี 1,500 สาขา
ด้านรายได้คาดว่าปี 2565 นี้จะมีกำไร 2,000 ล้านบาท หลังปี 2564 มีกำไร 1,400 ล้านบาท และ 900 ล้านบาทเมื่อปี 2563

ลงทุนผุด 8 คลังสินค้า หนุนขยายสาขา

ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด กล่าวว่า เพื่อรองรับแผนการขยายสาขา บริษัทเดินหน้าลงทุนสร้างคลังสินค้าใหม่ 8 แห่ง รวมพื้นที่ 3 แสนตร.ม. ในจุดยุทธ์ศาสตร์ต่างๆ อาทิ ขอนแก่น ลำพูน บุรีรัมย์ นครศรีธรรมราช เป็นต้น ลงทุนแห่งละ 3 พันล้านบาท แต่ละแห่งจะรองรับร้านค้า 5,000 ร้านค้า คาดว่าปี 2566 จะแล้วเสร็จประมาณ 6 แห่ง

ทั้งนี้เพื่อทดแทนคลังสินค้า 8 แห่งเดิมที่เป็นการเช่า และทำเลไม่ตอบโจทย์การระจายสินค้าของธุรกิจค้าปลีกมากนัก